ชาก ชีรัก
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ได้รับเลือกตั้งเืมื่อ : | 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1995 และ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2002 |
ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี : | 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1995 - 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2002
และตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2002 |
ประธานาธิบดีคนก่อนหน้านี้ : | ฟรองซัว มีแตรอง |
ประธานาธิบดีคนถัดไป : | - |
วันเดือนปีเกิด : | 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1932 |
สถานที่เกิด : | ปารีส เขต 5 |
ชาก เรอเน ชีรัก หรือเป็นรู้จักในนามของ ชาก ชีรัก (เกิด 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1932 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส) เป็นรัฐบุรุษฝรั่งเศส ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1995 เขาเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในระหว่างปี ค.ศ. 1974 ถึง ค.ศ. 1976 และระหว่าง ค.ศ. 1986 ถึง ค.ศ. 1988
[แก้] ชีวประวัติ
[แก้] ช่วงแรกของชีวิต (ค.ศ. 1932 - ค.ศ. 1967)
ชาก ชีรัก เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1932 ที่คลีนิคจอฟฟรัว-ซังต์-ติลแลร์ (ในเขตห้าของกรุงปารีส) ชาก ชีรัก เป็นบุตรชายของนายอาเบล-ฟร็องซัว ชีรัก พนักงานธุรการบริษัท (ชาตะ ค.ศ. 1893 มรณะ ค.ศ. 1968) กับนางมารี-หลุยส์ วาเล็ต (ชาตะ ค.ศ. 1902 มรณะ ค.ศ. 1973) ภรรยาซึ่งเป็นแม่บ้าน ทั้งคู่มาจากครอบครัวเกษตรกร แม้ว่าปู่และตาของเขาจะเป็นอาจารย์ ที่ตำบลซังต์-เฟเรโอล จังหวัดกอร์เรซ ชีรักบอกว่านามสกุลของเขา "มาจากภาษาล็องก์ด็อกของกลุ่มทรูบาดูร์ กวีสมัยยุคกลางในราชสำนักแถบนั้น"
ชาก ชีรักในวัยเด็กเป็นบุตรชายคนเดียว (พี่สาวของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เล็กก่อนที่เขาจะเกิด) ได้เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนมัธยมการ์โน จากนั้นก็ได้ย้ายมาที่โรงเรียนมัธยมหลุยส์-เลอ-กร็องด์ หลังจากสอบผ่านข้อสอบมาตรฐานระดับเตรียมอุดมศึกษาแห่งชาติได้ เขาก็ได้สมัครเป็นลูกเรือ และได้ร่วมออกเดินทางกับเรือบรรทุกถ่านหินเป็นเวลาสามเดือน ในปี ค.ศ. 1951 เขาได้เข้าศึกษาต่อในสถาบันการเมืองศึกษาแห่งกรุงปารีส และจบการศึกษาในปี ค.ศ. 1954 หลังจากที่ได้เข้าเรียนภาคฤดูร้อนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในปี ค.ศ. 1953 ตลอดช่วงเวลานี้ เขาได้เข้าร่วมมีบทบาทในพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส และได้ทำงานร่วมกับ คริสชิออง บูร์จัว ผู้ซึ่งต่อมาเป็นบรรณาธิการชื่อดัง จากคำบอกเล่าของชีรัก เขาเคยขายหนังสือพิมพ์ลูมานีเต (หนังสือพิมพ์ของค่ายสังคมนิยม) ที่ถนนเดอโวจีราร์ และได้เข้าร่วมการประชุมกลุ่มคอมมิวนิสต์หนึ่งครั้ง (จากรายการทางสถานีโทรทัศน์ ฟร้องซ์ทรัว เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1993) ต่อมาในปี ค.ศ. 1950 เขาได้ลงนามในอนุสัญญาสต็อกโฮล์มเพื่อต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ อันได้รับแรงบันดาลใจจากลัทธิคอมมิวนิสต์ (ซึ่งทำให้เขาต้องถูกซักถามอย่างละเอียดในการขอวีซ่าเข้าสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก)
ชีรักฉลองงานหมั้นกับนางสาวแบร์นาเด็ต โชดร็อง เดอ กูร์เซล ที่อาคารพักอาศัยเด โชดร็อง ซึ่งตั้งอยู่บนบูลเลอวาร์ด ราสไป เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ค.ศ. 1953 ในฤดูใบไม้ร่วง ปี ค.ศ. 1954 เขาได้รับการตอบรับให้เข้าศึกษาต่อในโรงเรียนการราชการแห่งชาติ ต่อมาเขาเรียนได้ที่หนึ่งที่โรงเรียนนายร้อยแห่งจังหวัดโซมูร์ แต่เขาถูกปฏิเสธให้เข้ารับราชการเนื่องจากเคยมีประวัติเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ จึงต้องอาศัยเส้นสายจากทางครอบครัวของนางสาวแบร์นาเด็ต (นายพลโคเอนิค) เพื่อให้ได้รับราชการทหาร ชีรักได้ติดยศร้อยตรีเมื่อจบการศึกษา
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1956 เขาได้เข้าพิธีสมรสกับนางสาวแบร์นาเด็ต แม้ว่าทางครอบครัวของฝ่ายสาวจะไม่เห็นด้วยเนื่องจากชีรักมาจากครอบครัวชาวนา บิดามารดาของแบร์นาเด็ตปฏิเสธที่จะจัดงานมงคลสมรสที่วิหารน้อยซังต์-โคลติลด์ ที่สงวนไว้เฉพาะครอบครัวจากวงสังคมชั้นสูงในย่านซังต์-แจร์มัง พิธีสมรสจัดขึ้นที่ชาเปล ลาส คาสเซส ซึ่งเป็นส่วนขยายของโบสถ์ที่สงวนไว้สำหรับการสอนศาสนา และจัดงานพิธีแบบรวดเร็ว ชีรักมีบุตรสาวกับแบร์นาเด็ตสองคน ชื่อโลร็องซ์ (เกิดปี ค.ศ. 1958) และ โคลด ชีรัก
ชีรักเปลี่ยนสถานะทางสังคมโดยสิ้นเชิงจากการสมรส ระหว่างปี ค.ศ. 1956 - ค.ศ. 1957 หลังจากแต่งงานไม่นาน เขาก็โดนหมายเรียกให้เข้าประจำการในกองทัพ เนื่องด้วยว่าเป็นบัณฑิตจบใหม่ อนาคตไกล เขามีสิทธิ์หลีกเลี่ยงการไปออกรบในสงครามแอลจีเรีย (ที่ดำเนินติดต่อกันเป็นระยะเวลา 18 เดือน) แต่เขาก็ไปร่วมรบด้วยความสมัครใจ โดยได้รับตำแหน่งในกองร้อยที่สองของแอฟริกา (ประจำการอยู่ที่ ซูก-เอล-บาบาร์) เขาพ้นประจำการเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1957 ชาก ชีรักอธิบายว่าเขาเพิ่งจะกลายเป็นพวกนิยมโกลเมื่อปี ค.ศ. 1958นี้เอง แม้ว่าเขาจะได้เข้าร่วมพรรคแนวร่วมแอร์เปเอฟของนายพลชาลส์ เดอ โกล มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1947 "โดยไม่ทราบว่าตัวเองทำอะไรลงไป" ระหว่างวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1959 และเมษายน ค.ศ. 1960 เขาก็ได้รับราชการใน"กองหนุนส่วนงานธุรการ" โดยทำงานให้กับนายชาก เปลิสซีเย ผู้อำนวยการทั่วไป กองเกษตรกรรมในแอลจีเรีย
เมื่อกลับสู่กรุงปารีส ชาก ชีรักได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการประจำสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และเป็นอาจารย์ประจำสถาบันการเมืองศึกษาแห่งชาติ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1962 เขาเป็นผู้รับผิดชอบโครงการเกี่ยวกับการโยธาธิการ และการขนส่ง ในสำนักงานเลขานุการของนายกรัฐมนตรีจอร์จ ปอมปิดู และประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อีกหนึ่งปีต่อมา เขาได้รับตำแหน่งที่ผู้ตรวจเงินแผ่นดินประจำสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ในปี ค.ศ. 1965 เขาได้รับเลือกตั้งเป็นที่ปรึกษาประจำตำบลซังต์-เฟเรโอล ในจังหวัดกอร์เรซ ภูมิลำเนาเดิมของตระกูลชีรัก โดยที่เขาไม่ได้เรียกร้องแต่อย่างใด อีกหนึ่งปีต่อมา จอร์จ ปอมปิดูส่งเขาลงสมัครส.ส.ในเขตอูซเซล จังหวัดกอร์เรซ เพื่อแย่งพื้นที่มาจากคู่แข่ง ด้วยการสนับสนุนของนายมาร์เซล ดาซโซลต์ และหนังสือพิมพ์ของเขา ประกอบด้วยการรณรงค์หาเสียงอย่างไม่หยุดหย่อน ชีรักเอาชนะคู่แข่งจากพรรคคอมมิวนิสต์ได้อย่างเฉียดฉิว ในพื้นที่ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์เอง
[แก้] ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี (ค.ศ. 1967 - ค.ศ. 1976)
ในอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนต่อมา เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1967 ชาก ชีรัก ที่ได้รับฉายาจากจอร์จ ปอมปิดู ว่า "รถตักดินของกระผม" ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ในรัฐบาลจอร์จ ปอมปิดูสาม (และยังคงดำรงตำแหน่งนั้นในอีกหลายรัฐบาลต่อมา ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีโมรีซ กูซเวอ เดอ มูร์วิลล์ ชาก ชาบอง-เดลมา และ ปีแยร์ เมสแมร์ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1974) ผลงานในยุคแรกๆที่มาจากแนวคิดริเริ่มของชีรักได้แก่ สำนักงานแรงงานแห่งชาติ ตลอดเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1968 เขาได้มีบทบาทสำคัญในข้อตกลงแห่งเกรอเนล และได้กลายเป็นตัวอย่างของคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ถูกนำไปล้อเลียนในหนังสือการ์ตูนอาสเตริกซ์ ทันทีที่พ้นเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1968 ชีรักได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน โดยมีนายวาเลรี จีสการ์ เดสแตง ในวัยหนุ่มรั้งตำแหน่งรัฐมนตรี ทั้งคู่ทำงานร่วมกันด้วยความกินแหนงแคลงใจ ชีรักไม่เห็นด้วยในการลดค่าเงินฟรังก์เมื่อปี ค.ศ. 1969
ในปี ค.ศ. 1971 เขาได้กลายเป็นรัฐมนตรีกิจการพิเศษ ดูแลความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับรัฐสภา จากนั้น เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1972 เขาได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท ภายใต้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีปีแยร์ เมสแมร์ ซึ่งประชาชนจำเขาได้เนื่องจากเขาได้รับเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากเกษตรกร ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1973 ด้วยการสนับสนุนของประธานาธิบดี เขาได้เป็นผู้ทบทวนการตัดสินใจของประธานาธิบดีวาเลรี จิสการ์ เดสแตง ที่อยู่ในระหว่างการเดินทาง
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1974 อาจจะจากเรื่องอื้อฉาวการดักฟังโทรศัพท์ของหนังสือพิมพ์ เลอ กานาร์ อ็องเชนเน เขาได้ "แลก" ตำแหน่งกับเรมงด์ มาร์เซลัง ที่ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไท และภายหลังการเสียชีวิตของประธานาธิบดีจอร์จ ปอมปิดูเพียงเล็กน้อย เขาได้เลือกที่จะสนับสนุนนายปีแยร์ เมสแมร์เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไปอยู่ช่วงหนึ่ง จากนั้นก็หันไปสนับสนุนนายวาเลรี จิสการ์ เดสแตง เพื่อต่อสู้กับนายชาก ชาบอง-เดลมา ผู้สมัครจากลัทธินิยมโกล เขาได้วิ่งเต้นต่อสู้กับผู้แทนราษฎร 43 คนที่สนับสนุนชาบอง-เดลมา และมีส่วนอย่างยิ่งต่อชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของวาเลรี จิสการ์ เดสแตง ชีรักยังอาศัยความได้เปรียบในพื้นที่ และการรู้จักผู้ได้รับการเลือกตั้งท้องถิ่น ช่วยให้เขาได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรอีกอย่างน้อยสองปี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งในกระทรวงสำคัญๆ ที่ทำให้เขามีอำนาจเหนือศูนย์การปกครองส่วนจังหวัด สำนักงานการศึกษาแห่งชาติ และอื่นๆ
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1974 ประธานาธิบดีวาเลรี จิสการ์ เดสแตงได้แต่งตั้งให้ชีรักเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องด้วยชีรักเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของเขา เขายังรักษาเสียงสนับสนุนจากพรรคอูเดเอฟไว้ได้ (ซึ่งในขณะนั้นมีรัฐมนตรีเพียงห้าคน) และได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค แม้จะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคมาก่อนก็ตาม ที่ทำเนียบมาตินยอง ชีรักได้จัดตั้งทำเนียบรัฐบาลที่มีรูปแบบสบาย ๆ เป็นกันเอง แต่ก็เริ่มการงัดข้อกับประธานาธิบดีด้วยเช่นกัน แม้ว่าทั้งสองต่างก็ต้องการปกครองประเทศ แต่ก็มีบุคลิกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งคู่กลายเป็นคู่แข่งกันมาตั้งแต่เหตุดึงเครียดระหว่างการดำรงตำแหน่งในกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1976 ประธานาธิบดีวาเลรี จิสการ์ เดสแตงได้สั่งการปรับครม.โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งปฏิเสธอำนาจการบริหารของเขา และเรียกร้องการดำเนินการทางการเมืองแบบใหม่ทั้งหมด ภายหลังการพบปะที่ป้อม เดอ เบรกองซง ชาก ชีรักได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ประกาศอย่างเป็นทางการเมืองวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1976 เขาได้ประกาศผ่านทางโทรทัศน์ว่า "กระผมไม่มีหนทางที่กระผมคิดว่าจำเป็นต่อการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป" ชาก ชีรัก ยังยืนยันกับวาเลรี จิสการ์ เดสแตงอีกด้วยว่า "เขาต้องการล้างมือจากชีวิตในแวดวงการเมือง [...] และจะทบทวนเกี่ยวกับชีวิตเสียใหม่ และเขายังได้เอ่ยถึงการตั้งหอศิลป์อีกด้วย"
[แก้] ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงปารีส ก้าวสู่ทำเนียบเอลีเซ (ค.ศ. 1976 - ค.ศ. 1995)
หลังจากที่ชีรักได้ประกาศตนเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงปารีส (เขาเป็นผู้ที่คัดค้านการเปลี่ยนสถานะของกรุงปารีสมาตั้งแต่แรกเริ่ม) ชีรักก็ได้จัดตั้งพรรคแอร์เปแอร์ขึ้น พรรคลัทธินิยมโกลนี้ ได้เอาฐานเสียงเดิมจากพรรคอูเดแอร์ ซึ่งมีชาก ชีรักดำรงตำแหน่งประธานพรรค เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1977 แม้ว่าจะถูกคัดค้านจากเรย์มง บาร์ ผู้ซึ่งสนับสนุนมิเชล ดอร์นาโน ชาก ชีรักได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงปารีสคนแรก โดยเป็นตำแหน่งใหม่ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้น หลังจากที่ถูกยกเลิกไปตั้งแต่สมัยของของจูล เฟอรี ซึ่งนับเป็นตำแหน่งสำคัญ เนื่องจากมีเงินงบประมาณถึงหนึ่งหมื่นห้าพันล้านฟรังก์ ข้าราชการอีกสี่หมื่นตำแหน่ง จึงนับว่าเป็นก้าวกระโดดทางการเมืองอันสำคัญของชีรัก
เพื่อเตรียมการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1981 ชาก ชีรัก ได้ทำให้พรรคแอร์เปแอร์กลายเป็นเครื่องจักรกลทางการเมืองที่มีกำลังแรง ด้วยการเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมากตลอด รวมจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น 150 ที่นั่ง ซึ่งมากกว่าจำนวนส.ส.ของพรรคอูเดเอฟ (พรรคที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1978 เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางการเมืองของประธานาธิบดี) ซึ่งแม้กระนั้น สถานการณ์ในพรรครัฐบาลของชีรักก็เข้าขั้นวิกฤติ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ. 1978 ชาก ชีรัก ได้ประสบอุบัติเหตุบนถนนในจังหวัดกอร์เรซ และได้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโกชัง ในกรุงปารีส ซึ่งที่นั่น เขาได้ประกาศ "แถลงการณ์เรียกร้องแห่งโกชัง" เพื่อแฉพรรค "การเมืองของชาวต่างชาติ" ซึ่งเขาหมายถึงพรรคอูเดเอฟนั่นเอง ในปี ค.ศ. 1979 ชีรักพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรป บัญชีรายชื่อผู้สมัครของเขาได้รับคะแนนเสียงเพียง 16.3% ตามหลังพรรคอูเดเอฟ ที่มีนายซีโมน เวย อยู่อันดับแรกในบัญชีรายชื่อ อยู่มาก (27.6%)
ระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีหลายครั้ง ชีรักได้ชูประเด็นเกี่ยวกับการลดภาษีมาใช้ในการหาเสียง โดยเขาได้นำแนวความคิดนี้มาจากประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ของสหรัฐ และได้รับคะแนนเสียง 18% จากการเลือกตั้งรอบแรก ซึ่งทำให้เขาถูกนายวาเลรี จิสการ์ด เดสแตง ทิ้งห่างเป็นอย่างมาก (28%) อีกทั้งยังมีคะแนนตามหลังนายฟรองซัว มีแตรอง (26%) ผู้ซึ่งมีชัยในการเลือกตั้งรอบที่สอง สาเหตุอาจเนื่องมาจากเขาได้ประกาศว่า "โดยส่วนตัวแล้ว" เขาได้ลงคะแนนให้กับฟรองซัว มีแตรอง หัวหน้าพรรคอูเดเอฟ จึงทำให้ผู้ที่สนับสนุนเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนหนุ่มสาว ยึดเอาคำพูดนี้มาขบคิด และลงคะแนนให้กับคู่แข่งในที่สุด
พรรคแอร์เปแอร์อ่อนแอลงหลังพ่ายการเลือกตั้งประธานาธิบดี และได้ที่นั่งเพียง 83 ที่นั่งในรัฐสภา จากการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่อย่างไรก็ดี ชาก ชีรัก ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากจากผู้มีสิทธิ์ออกเสียงที่นิยมพรรคฝ่ายขวา (อนุรักษ์นิยม) จากการดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงปารีส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากผลงานที่เขาได้พัฒนานโยบายเกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชน การช่วยเหลือผู้สูงอายุ คนพิการ และมารดาที่เลี้ยงบุตรตามลำพัง โดยใช้มาตรการกระตุ้นให้บริษัทตั้งสำนักงานอยู่ในเมือง แต่ก็จัดการสลายตัวย่านที่ผู้คนอาศัยหนาแน่น ในปี ค.ศ. 1983 เขาได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง และครองตำแหน่ง "แกรนด์สแลม" ด้วยการได้รับเลือกตั้งจากทั้งหมด 20 เขตของกรุงปารีส ชีรักกลายเป็นผู้นำพรรคฝ่ายค้านนับแต่นั้น ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1986 ระหว่างการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในระบบสัดส่วน จำนวนที่นั่งในรัฐสภาระหว่างพรรคแอร์เปแอร์ กับอูเดเอฟ รวมกันได้เสียงข้างมากพอดี จึงตามมาด้วยปรากฏการณ์ที่นายเรมงด์ บาร์ เรียกว่า "การจัดตั้งรัฐบาลผสม" ชาก ชีรัก ในฐานะหัวหน้าของพรรคร่วมรัฐบาลเสียงข้างมาก ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีในที่สุด
การจัดตั้งรัฐบาลผสมเปิดโอกาสให้เกิดการงัดข้อทางอำนาจระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดี ฟรองซัว มีแตรอง ที่ตำหนิติเตียนการดำเนินการของนายกรัฐมนตรีอย่างเปิดเผย เขาใช้อำนาจประธานาธิบดีอย่างเต็มที่ ด้วยการไม่ยอมลงนามในกฎหมาย ทำให้ชีรักต้องหันมาพึ่งมาตราที่ 49 ทวิ 3 (รัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐที่ 5 ของฝรั่งเศส) ยุทธวิธีของประธานาธิบดีทำให้สาธารณชนเหนื่อยหน่ายต่อวิธีการและนโยบายปฏิรูปของรัฐบาล ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องแก้ไขปัญหาเอาเองหลายต่อหลายครั้ง และต้องยอมล้มเลิกแผนการหลายอย่าง ชีรักยับยั้งอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นสำเร็จ แต่ก็ไม่สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างเด็ดขาด เขาต้องชดใช้การที่กลุ่มคนหนุ่มสาวไม่ไว้วางใจเขาด้วยเช่นกัน ส่งผลให้นายอลัง เดวาเก รัฐมนตรีของเขาถูกโจมตีในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1986 และภาพลักษณ์ของนายชาลส์ ปาสควา รัฐมนตรีอีกคนต้องเสียหายด้วยการได้รับคะแนนนิยมจากพรรคฝ่ายขวา แต่ถูกเกลียดชังโดยพรรคฝ่ายซ้าย ชาลส์ ปาสควา เป็นผู้ไปเจรจาลับให้ปล่อยตัวประกันในกรณีจับตัวประกันชาวฝรั่งเศสในเลบานอน แต่จากการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ กลับระบุว่าไม่มีการจ่ายเงินเรียกค่าไถ่แต่อย่างใด จากนั้นนายกรัฐมนตรีชีรัก ก็ถูกกล่าวหาว่าได้ขายเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส ให้กับอิหร่าน และต้องการสร้างกระแสในหมู่สาธารณชน
ในการเผชิญหน้ากับคะแนนนิยมของนายฟรองซัว มีแตรอง ที่สูงขึ้นเป็นอย่างมาก ในการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ชาก ชีรัก ได้ออกเดินสายหาเสียงทั่วประเทศฝรั่งเศส เพื่ออธิบายแนวนโยบายของเขา ในการเลือกตั้งทั่วไปรอบแรก เขาได้คะแนนเสียงเพียง 19.9% โดยมีนายเรมงด์ บาร์ จี้มาติด ๆ ด้วยคะแนน 16.5% ซึ่งก็ยังห่างไกลจาก มีแตรอง ที่ได้ 34.1% ชีรักเผชิญหน้ากับอดีตประธานาธิบดีมีแตรอง ที่เพิ่งพ้นจากวาระ ในการโต้วาทีที่เผ็ดร้อนทางโทรทัศน์ ซึ่งมีแตรองยืนยันอย่างแจ่มชัดว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการเจรจาวิ่งเต้นปล่อยตัวประกันในเลบานอนเลย ชีรักพ่ายในการเลือกตั้งรอบที่ 2 โดยได้คะแนนเสียงเพียง 45.98%
ผู้สนับสนุนชีรักต่างเสียกำลังใจ และภรรยาของเขาถึงกลับออกมายืนยันว่า "ชาวฝรั่งเศสไม่ชอบสามีของดิฉัน" ชีรักเป็นฝ่ายค้านอีกครั้ง และยังคงดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงปารีส ในปี ค.ศ. 1989 เขาได้รับเลือกเข้ามาใหม่ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น และทำงานหนักเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำพรรคฝ่ายค้าน ในปี ค.ศ. 1991 เขาประกาศว่า "ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับแผนการของนายชาก เดลอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ที่พยายามผลักดันให้มีสกุลเงินยูโร"
ในการรับมือกับรัฐบาลฝ่ายซ้ายอย่างยากลำบาก ชีรักได้เข้าร่วมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในปี ค.ศ. 1993 ซึ่งผลปรากฏว่า มาคราวนี้พรรคการเมืองฝ่ายขวาได้รับชนะอย่างถล่มทลาย แต่เนื่องจากบทเรียนที่เขาได้รับในการเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งก่อน ชีรักจึงสละสิทธิ์ให้เอดูอาร์ บัลลาดูร์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมเป็นหนที่สอง ข้อตกลงส่วนตัวของบุคคลทั้งสองนั้นเรียบง่ายมาก เอดูอาร์ บัลลาดูร์คุมทำเนียบมาตินยง แล้วหนุนให้ชีรักครองทำเนียบเอลีเซ ในปี ค.ศ. 1995
อย่างไรก็ดี เอดูอาร์ บัลลาดูร์ ได้ตัดสินใจเข้าสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย เนื่องจากเขาได้รับความนิยมอย่างสูง ผู้แวดล้อมประธานพรรคแอร์เปแอร์ถึงกับประณามเขาว่าเป็นคนทรยศ เนื่องจากในฐานะนายกรัฐมนตรีแล้ว เขายังมี นายนิโคลา ซาร์โกซี และนายชาร์ล ปาสควา สมาชิกพรรคอีกสองคนหนุนหลังอยู่ด้วย ทางด้านของนายฟีลิปป์ เซกัง หลังจากที่ลังเลอยู่ระยะหนึ่ง ก็ได้ตัดสินใจสนับสนุนผู้สมัคร "โดยชอบธรรม" และได้ร่วมกับนายอลัง ชูเป และนายอลัง มาเดอลัง เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสนับสนุนชีรักเป็นประธานาธิบดี ซึ่งชีรักก็ได้ออกหาเสียงอย่างกระตือรือร้น และชูประเด็นว่าด้วยเรื่อง "ความแตกร้าวทางสังคม" ชีรักเอาชนะเอดูอาร์ บัลลาดูร์ ในการเลือกตั้งรอบแรกไปได้ และมาเอาชนะนายลีโอเนล โจสปัง ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศส ได้ในการเลือกตั้งรอบที่สอง ด้วยคะแนนเสียง 52.64% เขาจึงได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสนับแต่นั้นเป็นต้นมา
[แก้] ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสสมัยแรก (ค.ศ. 1995 - ค.ศ. 2002)
ในการเข้ามาประจำที่ทำเนียบเอลีเซเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ประธานาธิบดีชีรัก ได้แต่งตั้งนายอลัง ชูเป เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งชูเปก็ได้ให้ความสำคัญต่อการต่อสู้กับปัญหาการขาดดุลภาครัฐ ในอันที่จะรักษาข้อตกลงเพื่อเสถียรภาพ ของสหภาพยุโรป และเพื่อเตรียมพร้อมการประกาศใช้สกุลเงินยูโร
นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1995 เป็นต้นมา การตัดสินใจเรื่องแรก ๆ ของชีรักเห็นจะเป็นประเด็น การรณรงค์ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งสุดท้ายของฝรั่งเศส ก่อนที่จะลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง โดยมีวัตถุประสงค์ให้คณะกรรมาธิการพลังงานนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส สามารถสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์จำลองการระเบิดของนิวเคลียร์สำเร็จ การตัดสินใจครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดกระแสคัดค้านอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และในหมู่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การคัดค้านไม่เป็นผล การทดสอบดังกล่าวได้มีขึ้นในที่สุด
ฝรั่งเศสได้เปลี่ยนแนวนโยบายระหว่างประเทศโดยสิ้นเชิง ในยูโกสลาเวีย ประธานาธิบดีชีรักได้สั่งให้กดดันยูโกสลาเวีย อันเนื่องมาจากเหตุสังหารทหารฝรั่งเศส ที่ปฏิบัติงานร่วมกับทหารในกลุ่มประเทศสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ในอันที่จะหยุดยั้งสงครามกลางเมือง ในขณะเดียวกัน ชีรักยังได้ดำเนินนโยบายที่ทำให้เขาใกล้ชิดกับกลุ่มประเทศอาหรับยิ่งขึ้น โดยที่ยังคงปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพ ในกรณีพิพาทอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ฝรั่งเศสได้เข้าร่วมคณะบัญชาการที่เป็นส่วนหนึ่งของนาโต้
คณะรัฐบาลของนายอลัง ชูเป ที่สูญเสียคะแนนนิยมอย่างมาก ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ผละงานประท้วงครั้งใหญ่ ตลอดช่วงฤดูหนาวระหว่างปี ค.ศ. 1995-1996 อันเนื่องมาจากการปฏิรูประบบเกษียณอายุในภาคเอกชน และการแช่แข็งเงินเดือนข้าราชการ ก่อนที่รัฐบาลเสียข้างมากของเขาจะหมดแรงต้านทาน ชีรักได้ตัดสินใจเสี่ยงยุบสภาไม่กี่เดือนก่อนวันหมดวาระ ทั้งนี้ อาจจะเนื่องมาจากคำแนะนำของนายโดมีนิค เดอ วิลล์ ปังก็เป็นได้ อย่างไรก็ดี ไม่มีผู้ใดเข้าใจเหตุผลที่แท้จริงของชีรักต่อการตัดสินใจดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นพรรคของเขาและผู้ลงคะแนนสนับสนุน ในขณะที่ฝ่ายค้านต่างโอดครวญ การเลือกตั้งที่ตามมา ชัยชนะตกเป็นของพรรคฝ่ายซ้ายหลายพรรค นำโดยนายลีโอเนล โจสปัง ชาก ชีรัก จึงได้แต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
การร่วมรัฐบาลผสมครั้งที่สาม กินเวลายาวนานกว่าครั้งก่อน ๆ มาก รวมเวลาทั้งสิ้นห้าปีด้วยกัน ทั้งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีต่างมีมติเป็นเสียงเดียวในเรื่องที่เกี่ยวกับสหภาพยุโรป หรือที่เกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศ ได้เข้าร่วมประชุมสุดยอดยุโรปร่วมกัน (เช่นเดียวกับเมื่อครั้งร่วมรัฐบาลผสมสองครั้งแรก) แม้ว่าบุคคลทั้งสองจะมีการกล่าววาจะกระทบกระทั่งกันบ้างก็ตาม
ในสมัยนี้เองที่เกิดเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับเงินทุนสนับสนุนทางการเมือง ให้แก่พรรคแอร์เปแอร์ และสำนักงานผู้ว่าราชการกรุงปารีส พรรคแอร์เปแอร์ (เช่นเดียวกับพรรคอูเดเอฟ เปเอส และพรรคเปเซ) ถูกกล่าวหาว่าได้รับเงินทุนสนับสนุนพรรคจากบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่ทางกรุงปารีสและเขตปริมณฑลได้ทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้างงานโยธามูลค่าสูง ชาก ชีรักดำรงตำแหน่งประธานพรรคแอร์เปแอร์ในขณะนั้น ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาดำรงตำแหน่งผู้ราชการกรุงปารีสด้วย เมื่อเกิดเหตุการณ์ผู้ลงคะแนนเสียงปลอมในเขต 5 กรุงปารีส จึงมีการตั้งข้อหาอดีตผู้ว่าราชการกรุงปารีสว่าด้วยการใช้งบประมาณแผ่นดินผิดปกติ โดยข้อหาแรกเกี่ยวกับการใช้เงินหลวงเพื่อการเดินทางส่วนตัวโดยเครื่องบิน ซึ่งนายแบร์ทรองด์ เดอลาโนเอ ผู้ว่าราชการกรุงปารีสคนใหม่ ได้มองข้ามข้อกล่าวหาแรกนี้ และได้ขอให้เปิดการสืบสวนคดี เกี่ยวกับการที่ชาก ชีรัก และนางแบร์นาเด็ต ภริยา ได้ใช้เงินจำนวนกว่าสองล้านยูโร ไปในหมวดของ "ค่าเลี้ยงรับรอง" ในขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงปารีส ระหว่างปี ค.ศ. 1987 และ ค.ศ. 1995
โดยการริเริ่มของนายอาร์โน มงต์บูร์ก ส.ส.พรรคสังคมนิยม ส.ส.อีกสามสิบคน (จากพรรคเปเอส 19 คน พรรคสีเขียว 4 คน พรรคซ้ายจัด 4 คน พรรคเปเซเอฟ 2 คน และพรรคเอ็มเอเซ 1 คน) ได้ยื่นรายชื่อขอให้ชีรักขึ้นให้การต่อศาลสูง ชีรักปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าว
ซึ่งตามมาตราหนึ่งของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส คณะที่ปรึกษารัฐธรรมนูญ ที่มีนายโรลองด์ ดูมา เป๋นประธานในขณะนั้น ได้ออกมายืนยันว่าประธานาธิบดีได้รับการคุ้มกันทางกฎหมาย ทำให้เขาไม่ต้องถูกดำเนินคดีขณะดำรงตำแหน่ง ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ
รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีลีโอเนล โจสปัง ได้รับคะแนนนิยมอย่างมาก จากนโยบายลดชั่วโมงทำงานให้เหลือ 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จากอัตราการว่างงานที่ลดลง และจากเศรษฐกิจโลกที่กระเตื้องขึ้นโดยรวม จึงถือโอกาสได้เปรียบนี้กำหนดปฏิทินการเลือกตั้งเบื้องต้นขึ้น (ให้เลือกตั้งประธานาธิบดี ก่อนเลือกสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ) และได้รับความเห็นชอบจากประธานาธิบดีชีรัก (ที่ตอนแรกคัดค้านอย่างหนัก) ให้เขาเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนวาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจากเจ็ดปี เป็นห้าปี ประธานาธิบดีชีรักต้องเผชิญกับแรงกดดันจากกลุ่มสนับสนุนนายโจสปัง และคะแนนนิยมของเขาก็ไม่ค่อยดีนัก จึงได้ตัดสินใจประกาศตัวเองเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 2002 อีกสมัย ซึ่งการประกาศดังกล่าวได้สร้างความผิดหวังเป็นอย่างมากให้แก่นายกรัฐมนตรีโจสปัง ที่ต้องการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเช่นกัน
ด้วยนโยบายสนับสนุนกลุ่มส.ส.หนุ่มของพรรคแอร์เปแอร์ ชีรักให้ความสำคัญต่อการจัดตั้งพรรคอูเอ็มเป พรรคการเมืองใหม่อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งพรรคนี้ก็มีแนวโน้มว่าจะรวมเข้ากับพรรคแอร์เปแอร์ พรรคอูเดเอฟ และพรรคเดโมคราซี ลีเบราลในที่สุด แนวนโยบายของพรรคอูเอ็มเป (ที่พรรคอูเดเอฟ นำโดยนายฟรองซัว เบรู ปฏิเสธที่จะรวมพรรคด้วย) พัฒนาอยู่บนแนวคิดเรื่องความมั่นคง และการลดภาษี ชีรักซึ่งบัดนี้มีประสบการช่ำชองในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ได้รณรงค์หาเสียงอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชูประเด็นความไม่มั่นคง ทำให้นายโจสปัง คู่แข่งแทบหืดขึ้นคอ เมื่อวันที่ 21 เมษายน ได้มีเรื่องน่าประหลาดใจเกิดขึ้น "ราวกับสายฟ้าฟาด" เมื่อนายลีโอเนล โจสปังพ่ายการเลือกตั้งตั้งแต่รอบแรก ชาก ชีรัก ที่มีคะแนนนำอยู่ที่ 19.88% ต้องชิงตำแหน่งกับนายชอง-มารี เลอ เป็น นักการเมืองอนุรักษ์นิยมหัวรุนแรง ที่มักจะถูกมองว่า มีความรังเกียจเดียดฉันชาวต่างชาติอยู่ในสายเลือด ชีรักที่แน่ใจว่าต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน ได้ปฏิเสธการโต้วาทีกับคู่แข่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า "เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการขาดความอดทนอดกลั้นทางสังคม และความเกลียดชัง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการถ่ายโอนแนวความคิด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการประนีประนอม เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการโต้วาที" บุคคลทั้งสองเกลียดกันและกันมาก ชีรักปล่อยให้กลุ่มคนที่นิยมพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายและคนหนุ่มสาวออกมาประท้วง และเรียกร้องให้เขาเหล่านั้นลงคะแนนให้ตน (สโลแกนของกลุ่มต่อต้านชีรักที่มีข้อความรุนแรงสุดเห็นจะเป็น "จงลงคะแนนให้คนขี้โกง แต่อย่าลงให้เผด็จการฟาสซิสต์") และในที่สุด ชาก ชีรักก็ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสอีกสมัย ด้วยคะแนน 82.21% อย่างที่ไม่มีผู้ใดเคยทำได้มาก่อน
[แก้] ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสสมัยที่สอง (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002)
นายลีโอเนล โจสปังที่พ่ายการเลือกตั้งประธานาธิบดี ได้ยื่นใบลาออกเองแต่เนิ่น ๆ ประธานาธิบดีชาก ชีรัก จึงได้แต่งตั้งนายชอง-ปีแอร์ ราฟารัง สมาชิกพรรคอูเอ็มเป เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งราฟารังก็ได้บริหารประเทศตามบัญชาของประธานาธิบดีอยู่เป็นเวลาหลายสัปดาห์ พรรคอูเอ็มเปที่ถูกสถาปนาขึ้น ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ตามมา ชาก ชีรักกุมเสียงข้างมากในสภาไว้ได้อีกครั้ง
นายกรัฐมนตรีชอง-ปีแอร์ ราฟารังได้เริ่มดำเนินนโยบายตามที่ได้หาเสียงเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีเงินได้ และการจัดการกับกลุ่มอันธพาลอย่างตรงจุด ที่ดำเนินการโดย[นิโคลา ซาร์โกซี|นายนิโคลา ซาร์โกซี]] รัฐมนตรีมหาดไทยผู้ได้รับความนิยมอย่างสูงและมีสื่ออยู่ในมือ และการจัดการปัญหาความไม่ปลอดภัยบนท้องถนน ที่ดำเนินการโดยนายจิลล์ เดอ โรเบียง รัฐมนตรีว่าการคมนาคมและขนส่ง ตามมาด้วยการปรับนโยบายการทำงานไม่เกิน 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ให้ยืดหยุ่นยิ่งขึ้น และการปฏิรูปการเกษียณอายุและประกันสังคม รวมทั้งการกระจายอำนาจบริหารสู่ท้องถิ่น
หลังการก่อวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 สถานการณ์ระหว่างประเทศ เริ่มมีความตึงเครียดจากนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ของสหรัฐ ผู้มีความเห็นไม่ลงรอยกับชีรัก แม้ว่าเขาจะสนับสนุนให้สหรัฐเข้าแทรกแซงในอาฟกานิสถาน แต่ขีรักกลับเลือกจะอยู่ฝ่าย แกร์ฮาร์ด ชโรเดอร์ วลาดีมีร์ ปูติน และสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อเป็นแนวร่วมสำคัญในการคัดค้านการบุกอิรักในปี ค.ศ. 2003 ของสหรัฐ แนวคิดของชีรัก ที่มีนายโดมีนิค เดอ วิลล์ ปัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเคียงบ่าเคียงไหล่ ได้รับการตอบสนอง เมื่อสหรัฐจะต้องผ่านมติเห็นชอบของสหประชาชาติก่อนที่จะทำการแทรกแซงใด ๆ ก็ตาม เขาอาศัยมติเห็นชอบของคนในชาติเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว และเผยแพร่แนวคิดเรื่อง "โลกหลายขั้วอำนาจ" หลังจากที่ชีรักได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป และผู้นำบางประเทศ ยกเว้นจากนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร อิตาลี และสเปน เขาจึงประกาศคัดค้านสหรัฐและปล่อยให้นานาชาติเข้าใจว่า เขาจะใช้สิทธิ์การออกเสียงยับยั้ง (วีโต้) ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ การประกาศครั้งนี้ให้เกิดกระแสต่อต้านไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสื่ออังกฤษบางส่วน (หนังสือพิมพ์เดอะ ซัน พาดหัวข่าวว่า "ชีรักเป็นหนอนบ่อนไส้") ความสัมพันธ์กับสหรัฐเลวร้ายลงมาก และเพิ่งจะเริ่มดีขึ้นหลังพิธีรำลึกการยกพลขึ้นบกที่นอร์มงดีของทหารพันธมิตร ในอีกสิบห้าเดือนต่อมา
วันรุ่งขึ้นหลังการพ่ายแพ้การเลือกตั้งระดับอำเภอ และระดับจังหวัดครั้งใหญ่เมื่อปี ค.ศ. 2004 (เขตปกครอง 20 แห่ง จากทั้งหมด 22 แห่งของกรุงปารีสและปริมณฑลกลายเป็นฝ่ายซ้าย) ประธานาธิบดีชีรักก็ได้แต่งตั้งให้นายนิโคลา ซาร์โกซีเป็นรัฐมนตรีกิจการของรัฐ รัฐมนตรีว่ากระทรวงเศรษฐกิจ การเงิน และอุตสาหกรรม สื่อสิ่งพิมพ์ทางการเมือง (ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ เลอ กานาร์ อองเชนเน นูเวล ออบแซร์วาเตอร์ หรือ เล็กซ์เพรส) ต่างก็มองว่าเป็นวิธีการตัดคะแนนนิยมของตัวเองอย่างรุนแรง (ตรงข้ามกับนายกรัฐมนตรีที่มีคะแนนต่ำสุดในการหยั่งคะแนนนิยม) เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนายนิโคลา ซาร์โกซีที่ทะเยอทะยานประกาศตนว่าต้องการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ชีรักที่ประกาศระหว่างการปราศรัยในวันชาติฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2004 ต้องการเบรคความร้อนแรงของซาร์โกซีเอาไว้ โดยให้เขาเลือกระหว่างเก้าอี้รัฐมนตรีที่มีอยู่ หรือไม่ก็ลาออกไปรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคอูเอ็มเป ในเดือนพฤศจิกายน นิโคลา ซาร์โกซี ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานพรรคอูเอ็มเป และลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ที่ได้ส่งต่อให้นายแอร์เว เกย์มาร์ ซึ่งต่อมา ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2005 นายแกร์มาร์ถูกสถานการณ์บีบให้ลาออกจากเรื่องอื้อฉาวที่สื่อมวลชนโหมกระพือข่าว โดยมีนายเทียรี เบรอตง ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน
ในการที่จะนำพาชาวฝรั่งเศสให้เห็นชอบกับรัฐธรรมนูญยุโรป ชาก ชีรักได้ตัดสินใจจัดการลงประชามติขึ้นเพื่อรับรองแนวคิดดังกล่าว ชีรักที่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการผลักดันให้ตุรกีเข้าร่วมสหภาพยุโรป ("ความฝันอันสูงสุด"ของเขา) มองว่าส.ส.ของเขาบางส่วนจะคัดค้านแนวคิดนี้ และจะทำให้การลงประชามติไม่เป็นไปอย่างเรียบร้อย เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม คณะกรรมาธิการยุโรป 25 คนได้เปิดการเจรจากับตุรกี โครงการแนวนโยบายโบลเคอสไตน์สามารถลดความกังวลทางสังคมที่แผ่ขยายไปทั่วสหภาพยุโรปลงได้ แม้ว่าประธานาธิบดีชีรักจะมีความพยายามลดแรงเสียดทาน ผลการหยั่งเสียงพลิกผันถึงสามครั้ง และการโต้วาทีกระตุ้นความสนใจของชาวฝรั่งเศสได้มาก และสร้างความสนใจแก่สื่อมวลชน จนกระทั่งวันลงประชามติ
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ภายหลังการรณรงค์ที่ประธานาธิบดีออกโรงด้วยตนเอง ผลปรากฏว่าชาวฝรั่งเศสมีมติไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญยุโรปถึง 54.87% จากผู้มาลงประชามติทั้งหมด 69.74% ในวันรุ่งขึ้น นายกรัฐมนตรีชอง-ปีแอร์ ราฟารังก็ประกาศลาออก ชาก ชีรักประกาศผู้มาดำรงตำแหน่งใหม่เป็นคู่ของนายโดมีนิค เดอ วิลล์ ปัง และนายนิโคลา ซาร์โกซี โดยที่เดอ วิลล์ ปังครองเค้าอี้นายกรัฐมนตรี และนายซาร์โกซีนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกิจการของรัฐ พ่วงด้วยตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไท สื่อมวลชนยกประเด็นว่าบุคคลในคณะรัฐบาลมักจะเป็นหน้าเดิมๆ แต่ก็ประหลาดใจกับการร่วมรัฐบาลกันของบุคคลทั้งสอง (โดยเปรียบนิโคลา ซาร์โกซีว่าเป็น "รองนายกรัฐมนตรี" เลยทีเดียว)
ชาก ชีรัก เริ่มการงัดข้อกับนายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ของสหราชอาณาจักร (ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานสหภาพยุโรปในขณะนั้น) เกี่ยวกับงบประมาณของสหภาพยุโรป การเผชิญหน้ากันครั้งนี้ขยายผลไปถึงการแข่งกันเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2012 ระหว่างกรุงปารีส และกรุงลอนดอน ที่ทั้งคู่ต่างออกโรงด้วยตนเอง ชาวฝรั่งเศสต่างค่อนข้างมั่นใจว่าได้เปรียบ และต้องการทำลายบรรยากาศอึมครึมที่ปกคลุมประเทศ แต่เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม คณะกรรมการโอลิมปิกสากลกลับเลือกกรุงลอนดอนเป็นเจ้าภาพในที่สุด
นับแต่นั้นเป็นต้นมา คะแนนนิยมของชีรักก็ตกต่ำลงมาก และเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า เมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 2005 เขาต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลทหารเมืองวัล-เดอ-กราซ อันเนื่องจากโรคหลอดเลือดเส้นประสาท (หลอดเลือดเส้นประสาทล้มเหลว) ทำให้การมองเห็นพร่ามัว โชคดีที่อาการดังกล่าวก็หายเป็นปกติในไม่กี่วัน เขาออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2005 แต่ก็ถูกห้ามขึ้นเครื่องบินไปอีกหลายสัปดาห์ นายกรัฐมนตรีโดมีนิค เดอ วิลล์ ปัง จึงเป็นตัวแทนฝรั่งเศสเข้าร่วมการประชุมสุดยอดองค์การสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 2005 สื่อมวลชนตอบรับการปฏิบัติภารกิจแทนประธานาธิบดี "หนึ่งร้อยวัน" ของนายกรัฐมนตรีโดมีนิก เดอ วิลล์ ปัง เป็นอย่างดี แต่เขาก็ต้องเหนื่อยหน่ายที่ต้องแข่งกับนายนิโคลา ซาร์โกซี ที่ทำตัวโดดเด่นนับตั้งแต่อุบัติเหตุของประธานาธิบดี นักข่าวหลายสำนักต่างยืนยันว่าชาก ชีรัก จะไม่สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 2007 อีก และปล่อยให้ผู้อื่นเข้าสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดี
เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2005 ระหว่างการประชุมสุดยอดฝรั่งเศส-อิตาลี ชาก ชีรัก ได้ตำหนิคณะกรรมาธิการยุโรปที่ไม่ได้ต่อสู้กับการปลดคนงานของฮิวเล็ต-แพคการ์ด ทำให้ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปออกมาตอบโต้ว่าการกล่าวหาดังกล่าว เป็นการ "ตีปี๊บหาเสียง" เนื่องด้วยเห็นว่าปัญหาดังกล่าวเป็นเพียงปัญหาระดับชาติ
นับตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม ค.ศ. 2005 จากเหตุการณ์วัยรุ่นสองคน ถูกไฟฟ้าช็อตเสียชีวิต หลังถูกตำรวจไล่กวด แล้วหลบเข้าไปในสถานีไฟฟ้าย่อยของการไฟฟ้าฝรั่งเศส ที่เมืองคลิชี-ซูร์-บัว และจากคำแถลงการณ์ของนายนิโคลา ซาร์โกซี รัฐมนตรีมหาดไท ที่มีการใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม ทำให้เกิดเหตุจลาจลขึ้นในคืนถัดมา สื่อมวลชนขนานนามเหตุการณ์นี้ว่าเป็น การลุกฮือของประชาชนในแถบชานเมืองของฝรั่งเศส และได้แผ่ขยายไปทั่วประเทศฝรั่งเศสภายในเวลาไม่กี่วัน (รถยนต์หลายพันคันถูกเผา อาคารสำนักงานและอาคารราชการถูกทำลาย ฯลฯ) วันที่ 8 พฤศจิกายน ประธานาธิบดีชีรัก ได้บัญชาให้คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีประกาศภาวะฉุกเฉิน ส่วนปกครองท้องถิ่นสามารถประกาศเคอร์ฟิวได้ทั่วพื้นที่ หรือบางส่วน ชาก ชีรักได้ออกมาแถลงต่อชาวฝรั่งเศสครั้งแรกเกี่ยวกับการลุกฮือครั้งนี้ ผ่านทางโทรทัศน์และวิทยุ เมื่อวันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน เมื่อเวลา 20 นาฬิกา ชาวฝรั่งเศสคาดหวังกับการแก้ไขปัญหานี้สูงมาก มีผู้ติดตามสุนทรพจน์ของชีรักกว่า 20 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นสถิติสูงสุดในการกล่าวสุนทรพจน์ทางการเมือง ชีรักใช้เวลา 14 นาที เพื่อย้ำเตือนถึงอุดมการณ์และค่านิยมของสาธารณรัฐ อีกทั้งเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา
- ถอดเทปคำปราศรัยของประธานาธิบดีชาก ชีรัก เมื่อวันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2005 เกี่ยวกับเหตุการณ์จลาจลในแถบชานเมืองของฝรั่งเศส (ภาษาฝรั่งเศส)
[แก้] เส้นทางทางการเมือง
[แก้] ลำดับเหตุการณ์
- ค.ศ. 1950 เข้าร่วมกองกำลังเพื่อสันติภาพ ในขบวนการที่ใกล้ชิดกับพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศส
- ค.ศ. 1962 เป็นผู้ประสานงานกับจอร์จ ปอมปีดู นับตั้งแต่ปีค.ศ. 1962 เป็นค้นมา
- ค.ศ. 1967 ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดกอร์เรซ บ้านเกิด และเริ่มอาชีพรัฐมนตรี
- ค.ศ. 1974 ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี โดยประธานาธิบดีวาเลรี จิสการ์ เดสแตง
- ค.ศ. 1976 ประกาศลาออกจากตำแหน่งด้วยการสละเก้าอี้ให้นายเรมงด์ บาร์ แล้วออกไปตั้งพรรคแอร์เปแอร์
- ค.ศ. 1977 ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าราชการกรุงปารีส และครองตำแหน่งนี้ยาวนานกว่า 18 ปี (ได้รับเลือกเข้ามาใหม่ในปี ค.ศ. 1983 และ ค.ศ. 1989)
- ค.ศ. 1978 เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ได้ประกาศแถลงการณ์เรียกร้องแห่งโกชัง (เมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลที่เขาเข้าพักรักษาตัวหลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์) และประกาศว่า "เรากำลังเตรียมตัวรับระบอบปกครองแบบยุคกลางของฝรั่งเศส และเตรียมจะทำให้ประเทศตกต่ำลง" เขายังออกมาแฉว่าพรรคอูเดเอฟ เป็น "พรรคการเมืองของชาวต่างชาติ"
- ค.ศ. 1981 สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสเป็นครั้งแรก ปะทะกับอดีตประธานาธิบดีวาเลรี จิสการ์ เดสแตง ชีรักได้รับคะแนนเสียงเพียง 18%
- ค.ศ. 1986 พรรคแอร์เปแอร์ และพรรคอูเดเอฟ ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เขาได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีในการร่วมรัฐบาลผสมครั้งแรกกับฟรองซัว มีแตรอง
- ค.ศ. 1988 พ่ายแพ้ต่อฟรองซัว มีแตรอง ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี รอบที่สอง
- นับตั้งแต่ปีคริสต์ทศวรรษที่ 1990 ชื่อของชาก ชีรักได้เข้าไปพัวพันบ่อยครั้ง ในการพิจารณาคดีแปดคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่เกี่ยวกับผู้ว่าราชการกรุงปารีส สมัยตำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสามารถคุ้มกันเขาจากการถูกดำเนินคดีไว้ได้
- ค.ศ. 1995 ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสสมัยแรก ด้วยคะแนนเสียง 52.6% ในการชิงชัยกับนายลีโอเนล โจสปัง และแต่งตั้งให้นายอลัง ชูเป ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
- ค.ศ. 1997 ประกาศยุบสภา พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำให้ชีรักต้องยอมจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคฝ่ายซ้ายอีกครั้ง (ค.ศ. 1997-2002) และแต่งตั้งนายลีโอเนล โจสปัง จากพรรคสังคมนิยมฝรั่งเศส (เปเอส) เป็นนายกรัฐมนตรี
- ค.ศ. 2002 ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีฝรั่งเศสสมัยที่สอง ด้วยคะแนนเสียง 19.88% ในการเลือกตั้งรอบแรก (คะแนนต่ำสุดในประวัติศาสตร์ เท่าที่ประธานาธิบดีผู้เพิ่งพ้นวาระเคยได้รับ) และได้รับคะแนนเสียง 82.21% ในการเลือกตั้งรอบที่สอง อันเป็นคะแนนที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐที่ห้า อันเนื่องมาจากความเห็นพ้องต้องกันของชาวฝรั่งเศส ที่ไม่ต้องการให้นายชอง-มารี เลอ เปน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคฟรองซ์ นาซองนาล (พรรคอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว) ได้รับเลือก ตามคำเรียกร้องของพรรคการเมืองส่วนใหญ่ การหยั่งเสียงหน้าคูหาของสำนักโพล IPSOS ระบุว่า ผู้ไปเลือกตั้งส่วนใหญ่ลงคะแนนให้พรรคฝ่ายซ้าย และพรรคขั้วเป็นกลางในรอบแรก แต่หันมาลงคะแนนให้ชีรักในรอบที่สอง
นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้แก่นายโดมีนิค เดอ วิลล์ปัง ผู้ซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่ง เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 แทนนายชอง-ปีแอร์ ราฟารัง ที่ได้รับแต่งตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2002
[แก้] สมัยที่ได้รับเลือกตั้ง
- ที่ปรึกษาท้องถิ่น และผู้ว่าราชการจังหวัด :
- ค.ศ. 1965-1971 : สมาชิกคณะที่ปรึกษาท้องถิ่นแห่งซังต์-เฟเรโอล จังหวัดกอเรซ
- ค.ศ. 1971-1977 : สมาชิกคณะที่ปรึกษาท้องถิ่นแห่งซังต์-เฟเรโอล จังหวัดกอเรซ
- ค.ศ. 1977-1983 : สมาชิกคณะที่ปรึกษาท้องถิ่นแห่งกรุงปารีส และผู้ว่าราชการกรุงปารีส
- ค.ศ. 1983-1989 : สมาชิกคณะที่ปรึกษาท้องถิ่นแห่งกรุงปารีส และผู้ว่าราชการกรุงปารีส
- ค.ศ. 1989-1995 : ผู้ว่าราชการกรุงปารีส สิ้นสุดวาระดำรงตำแหน่งหลังได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1995 และจะหมดสมัยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาท้องถิ่นประจำกรุงปารีส ในการเลือกตั้งท้องถิ่นเดือนถัดมา คือเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1995
- ที่ปรึกษาทั่วไป:
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร:
- ค.ศ. 1967-1967 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากจังหวัดกอเรซ (1)
- ค.ศ. 1968-1968 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากจังหวัดกอเรซ (1)
- ค.ศ. 1973-1973 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากจังหวัดกอเรซ (1)
- ค.ศ. 1976-1978 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากจังหวัดกอเรซ (2)
- ค.ศ. 1978-1981 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากจังหวัดกอเรซ (3)
- ค.ศ. 1981-1986 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากจังหวัดกอเรซ
- ค.ศ. 1986-1986 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากจังหวัดกอเรซ (1)
- ค.ศ. 1988-1993 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากจังหวัดกอเรซ
- ค.ศ. 1993-1995 : สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากจังหวัดกอเรซ (4)
- สมาชิกรัฐสภายุโรป :
- ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส :
- ค.ศ. 1995-ค.ศ. 2002 : ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส
- ค.ศ. 2002-ถึงปีค.ศ. 2007 : ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส
(1) หมดวาระหลังจากได้รับการเสนอชื่อเข้าร่วมรัฐบาล
(2) ได้รับเลือกตั้งจากการเลือกตั้งซ่อมเพื่อหาผู้ดำรงตำแหน่งแทนส.ส.คนก่อนที่ลาออกจากตำแหน่ง
(3) หมดวาระหลังจากการประกาศยุบสภา
(4) หมดวาระหลังจากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส
[แก้] หน้าที่ในคณะรัฐบาล
- ค.ศ. 1967-ค.ศ. 1968 : รัฐมนตรีกิจการพิเศษ ประจำกระทรวงกิจการสังคม รับผิดชอบปัญหาว่างงาน (ในรัฐบาลจอร์จ ปอมปิดู 4)
- ค.ศ. 1968-ค.ศ. 1968 : รัฐมนตรีกิจการพิเศษ ประจำกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน (ในรัฐบาลจอร์จ ปอมปิดู 5)
- ค.ศ. 1968-ค.ศ. 1969 : รัฐมนตรีกิจการพิเศษ ประจำกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน (ในรัฐบาลโมรีซ คูฟ เดอ มูร์วิลล์)
- ค.ศ. 1969-ค.ศ. 1972 : รัฐมนตรีกิจการพิเศษ ประจำกระทรวงเศรษฐกิจและการเงิน (ในรัฐบาลชาก ชาบอง-เดลมา)
- ค.ศ. 1972-ค.ศ. 1973 : รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท (ในรัฐบาลปีแยร์ เมสแมร์ 1)
- ค.ศ. 1973-ค.ศ. 1974 : รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและการพัฒนาชนบท (ในรัฐบาลปีแยร์ เมสแมร์ 2)
- ค.ศ. 1974-ค.ศ. 1974 : รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไท (ในรัฐบาลปีแยร์ เมสแมร์ 2)
- ค.ศ. 1974-ค.ศ. 1976 : นายกรัฐมนตรี (ในรัฐบาลชาก ชีรัก 1)
- ค.ศ. 1986-ค.ศ. 1988 : นายกรัฐมนตรี (ในรัฐบาลชาก ชีรัก 2)
[แก้] เกียรติประวัติ
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์กางเขนใหญ่
- กางเขนใหญ่สภาเกียรติคุณแห่งชาติ
- กางเขนเกียรติยศทางทหาร
- เหรียญการนำทางทางอากาศ
- อัศวินเกียรติยศแด่ผู้มีคุณูปการทางการเกษตร ทางอักษรศาสตร์และภาษาศาสตร์ และทางการกีฬา
- กางเขนใหญ่จากราชยสภาแห่งมอลตา
[แก้] คำคม
-
- "ข้าพเจ้าขอคารวะท่าน สหายเก่าและสหายใหม่ พวกเรามารวมกันที่นี่เพื่อเป็นสักขีพยานว่าประชาชนฝรั่งเศส มักจะรวมตัวพบปะกัน ดั่งเช่นที่เคยทำกันในยามยาก ประวัติศาสตร์ของเราเป็นชาติเก่าแก่ของยุโรป ที่ได้มอบค่านิยมที่ดีให้แก่โลกสมัยใหม่ และยังไม่หยุดที่จะให้ และรู้วิธีสร้างมรดกให้แก่พวกเราทุกคน พวกเราได้วางรากฐานที่น่าชื่นชม และปลุกเร้าเอกภาพของพวกเรามาจากค่านิยมนี้ พวกเราได้วางรากฐานอุดมคติของสังคมแห่งอิสรภาพ ซึ่งเป็นเครื่องตอกย้ำเกียรติภูมิ และความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคนในสังคมดังกล่าว มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าข้อกำหนดดังกล่าวปรากฏอยู่ในใจของผู้ร่วมชาติของเราส่วนใหญ่ และมันมีค่าควรแก่การเสียสละทุกอย่าง ในยามที่มันถูกคุกคาม? หรือในยามที่การคุกคามก่อตัวขึ้น ถึงเวลาแล้วที่จะได้สติกันเสียที"
-
- "ฝรั่งเศสเป็นประเทศมหาอำนาจมุสลิม และสังคมหลากหลายเชื้อชาติ"
- การโต้วาทีทางโทรทัศน์ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 1985 ระหว่างการรณรงค์หาเสียงสำหรับการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ค.ศ. 1986 :
-
- "เลิกขัดจังหวะผมเสียทีได้ไหม เมอร์ซีเออร์ฟาบีอุส คุณทำตัวเหมือนสุนัขที่ชอบทะเลาะวิวาท" ซึ่งฟาบีอุสตอบว่า "เมอร์ซีเออร์ชีรัก คุณต้องเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ เพราะคุณกำลังพูดอยู่กับนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสอยู่นะ !" อย่างไรก็ดี ฟาบีอุสต้องสละตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้ชีรัก จากการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อันเป็นที่มาของการโต้วาทีในครั้งนี้
- การประชุมสุดยอดยุโรป ที่กรุงบรัสเซล เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1988 :
-
- "คนเจ้ากี้เจ้าการ หล่อนต้องการอะไรจากผมอีก ลูกอัณฑะเสริฟบนถาดหรือไง?"
- เหตุการณ์ทางการทูตที่ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ของอังกฤษ เดอะซัน พาดหัวข่าวว่า "ประธานาธิบดีฝรั่งเศสเป็นคนหยาบคาย ตลอดค่ำคืนนั้น ล่ามของทางการ และนักแปลส่วนตัวต่างสงสัยว่าชาก ชีรัก ต้องการสื่อว่านายกรัฐมนตรีมากาเร็ต แทตเชอร์ เป็น "คนเจ้ากี้เจ้าการ" หรือว่า เป็น "ลูกอัณฑะ" กันแน่
- การโต้วาทีอย่างเป็นทางการ ระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรก และรอบที่สอง ในปีค.ศ. 1988 ฟรองซัว มีแตรอง กล่าวถึงบทบาทของตน เหมือนกับเวลากล่าวกับผู้ใต้บังคับบัญชา
-
- ชาก ชีรัก : "ขออนุญาตผมพูดอะไรหน่อยได้ไหม ว่าคืนนี้ กระผมไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และท่านก็ไม่ได้เป็นประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐ เราต่างก็เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งที่เท่าเทียมกัน กระผมจึงขออนุญาตเรียกท่านว่า เมอซีเออร์มีแตรอง"
- ฟรองซัว มีแตรอง : "คุณพูดมีเหตุผลดีนี่ ท่านนายกรัฐมนตรี"
- คำปราศรัยแห่งเมืองออร์เลออง เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 1991 :
-
- "ปัญหาของเรา ไม่ใช่ชาวต่างชาติ แต่การมีชาวต่างชาติอยู่มากเกินไปต่างหาก อาจจริงอยู่ที่ว่าไม่ได้มีชาวต่างชาติในฝรั่งเศสมากไปกว่าช่วงก่อนสงคราม แต่พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่พวกเดิม และนั่นเองที่ทำให้มันไม่เหมือนเดิม แน่นอนว่า การที่ชาวสเปน โปแลนด์ และโปรตุเกส เข้ามาทำงานในฝรั่งเศสนั้น สร้างปัญหาน้่อยกว่าชาวมุสลิม และคนผิวดำ คุณจะว่าอย่างไร หากมีคนงานชาวฝรั่งเศสกับภรรยาที่ต่างก็ทำงาน และทั้งคู่มีรายได้รวม 15,000 ฟรังก์ มีเพื่อนบ้านติดกันร่วมแฟลต เป็นครอบครัวชาวต่างชาติ ที่พ่อหนึ่งคน มีภรรยาสามสี่คน กับบุตรอีกยี่สิบ แล้วมีรายได้ 50,000 ฟรังก์จากเงินช่วยเหลือของทางการ โดยที่พวกเขาไม่ได้ทำงานอะไรเลย และหากคุณรวมเรื่องเสียงและกลิ่นเข้าไปด้วยละก็ คนงานชาวฝรั่งเศสที่อยู่บ้านติดกันต้องกลายเป็นบ้าไปแน่ๆ และการกล่าวเช่นนี้ไม่เป็นการเหยียดเชื้อชาติ เราไม่สามารถอยู่รวมกันเป็นครอบครัวอย่างมีเกียรติอีกต่อไป (เนื่องจากจะโดนหาว่าหวังเงินช่วยเหลือของรัฐ) และในที่สุดก็ควรจะต้องเปิดการอภิปรายเรื่องที่เป็นปัญหารุมเร้าประเทศเราอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจะเป็นการอภิปรายทางจริยธรรมอย่างแท้จริง เพื่อทราบว่า เป็นการชอบธรรมหรือไม่ ที่ชาวต่างชาติ จะได้สิทธิประโยชน์เหมือนชาวฝรั่งเศส จากเงินที่รวบรวมมาจากความสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นไม่มีส่วนร่วม เพราะเขาไม่ได้จ่ายภาษี"
- ข้อความนี้ได้กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวแห่งยุค และถูกพวกต่อต้านชีรักนำมาอ้างถึงอยู่เสมอ รวมถึงเพลง "เสียงและกลิ่น" ของวงเซปดาด้วย
- นิตยสารเล็กซ์เพรส ฉบับวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1994
-
- "ไม่มีใครคิดว่าผมก็คิดเป็น"
- วันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1998
-
- "แค่รอก็พอแล้ว โจสปังจะต้องพลาดเองแน่ นี่เป็นกฏของรัฐบาลผสม ผมได้เสียค่าโง่เพื่อเรียนรู้มาแล้ว"
- ชาก ชีรักต้องอดทนร่วมรัฐบาลกับฟรองซัว มีแตรองอย่างยากลำบาก และพ่ายต่อมีแตรองในการเลือกตั้งประธานาธิบดีขณะที่เขากำลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับชีรักในสมัยนั้นเลโอเนล โจสปัง ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมั่นใจกับผลการสำรวจคะแนนนิยมของตน และค่อนข้างแน่ใจว่าจะมีชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด เคยเกิดสถานการณ์แบบเดียวกันนี้กับอดีตนายกรัฐมนตรีเอดูอาร์ บัลลาดูร์ เนื่องด้วยการรับภาระนายกรัฐมนตรีไปพร้อมๆกับการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้นเป็นภารกิจค่อนข้างหนักหนาสาหัส อย่างที่ันักข่าวสายการเมืองขนานนามว่า "คำสาปมาตินยอง"
- เลอ ปารีเซียง วันที่ 10 พฤษภาึคม ค.ศ. 2000
-
- "การคัดค้านก็เหมือนกับการปั่นจักรยาน หากเราไม่ปั่นต่อไป เราก็ล้ม"
- ว่าด้วยเรื่องของเมรี กันยายน ค.ศ. 2000
-
- "โอมมะลึกกึ๊กกึ๋ยยยยย"
- ปฏิกิริยาของชาก ชีรักระหว่างการให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ ที่ได้มีการอ้างถึงเรื่องเทปคาสเสตของนายชอง-โคลด เมรี คำอุทานนี้ปรากฏในบาทที่สองของ "หัวใจร้าวราน" บทกวีของอาเธอร์ รัมโบ หรือที่มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "หัวใจสลาย" และอาจกล่าวได้ว่าคำนี้ปรากฏอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้นในปลายคริสศตวรรษที่ 20 นายโดมีนิค เดอ วิลล์ ปัง เป็นคนพูดคำนี้กับชาก ชีรัก
- คำคมคัดสรร
-
- "สิ่งนี้กระทบสิ่งหนึ่งโดยไม่ได้ทำให้สิ่งอื่นขยับ"
- "นอกจากฟุตบอลและเบียร์แล้ว ยังมีเรื่องที่ผมโปรดปรานอีกมากมาย"
- "เราให้ของขวัญก่อนการเลือกตั้งและจากนั้นเราก็ตัดสินใจเกี่ยวกับภาษีทันทีทันใด" 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1981
- "การคาดการณ์ทำได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอนาคต" (เป็นคำคมของนีลส์ บอห์ร นักฟิสิกส์ชื่อดัง ซึ่งอดีตประธานาธิบดีชาลส์ เดอ โกล และจอร์จ ปอมปีดู ก็ยืมมาใช้เช่นกัน)
- "ภรรยาผมเป็นนักการเมือง"
- "เรารู้สึกกะปรี้กะเปร่าขึ้นมาหลังได้ดื่มเบียร์สักแก้ว"
- "อย่างไรเสีย ผมก็ได้เล่นงานพวกสังคมนิยมอย่างสะใจ" 22 เมษายน ค.ศ. 2002
- "ผมต่อต้านนักล่า แต่ผมก็เข้าใจคุณดีว่า ถ้ากระต่ายป่าจู่โจมคุณ คุณก็ต้องป้องกันตัวเป็นธรรมดา" 10 มีนาคม ค.ศ. 1994
- "ผมไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกสมาคมแรงงานระหว่างประเทศประจำฝรั่งเศส ที่นั่นมีพวกอนุรักษ์นิยมมากเกินไป"
- "ในปี ค.ศ. 1994 เราจะสามารถลงไปว่ายน้ำเล่นในแม่น้ำเซนได้อีกครั้ง และผมจะเป็นคนแรกที่ทำ" 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1988 (จนกระทั่งบัดนี้เราก็ยังว่ายน้ำในแม่น้ำเซนไม่ได้)
[แก้] อื่นๆ
[แก้] รายการตลกล้อเลียน
- รายงานข่าวของเล กินโยล (คล้ายกับรายการ "รัฐบาลหุ่น" ของไทย) นำชาก ชีัรักมาล้อเลียนประจำ โดยนำเสนอในแบบของชายชาวฝรั่งเศสผู้มีอันจะกินทั่วไป และดูน่ารักดีในแบบของเขา จนทำให้เราอาจกล่าวได้ว่า รายการเล กินโยลมีส่วนช่วยให้ชีรักได้รับชัยชนะเหนือนายเอดูอาร์ บัลลาดูร์ ในการเลือกตั้งปี ค.ศ. 1995 (แต่ไม่ใช่ในปี ค.ศ. 2002 ที่รายการเดียวกันนี้นำเสนอชีรักในแบบของ 'คนขี้โกหก' อันไม่น่านิยมชมชอบ)
- ในรายการเบเบ็ตโชว์ หรือ "หุ่นหรรษา" (ค.ศ. 1982-1993) ของชอง รูกา และ สเตฟาโน โคลลาโร ชาก ชีรัก เป็นอีกาขนสีน้ำเงิน ที่มีชื่อว่า "แบล็ค ชาก" (ออกเสียงคล้ายกับคำว่า เกมไพ่ "แบล็ค แจ็ค")
[แก้] ทั่วไป
- การสะสมดวงตราไปรษณียากร : การไปรษณีย์ของทางการปาเลสไตน์ได้ออกดวงตราไปรษณียากรแผงละสี่ดวง เพื่อเป็นเกียรติแก่ชาก ชีรัก ในปีค.ศ. 2004 (ดูภาพ)
- ชาก และแบร์นาเด็ต ชีรัก ได้อุปการะเด็กหญิงอา เดา ฝาม ชาวเวียดนามเป็นบุตรบุญ»ธรรม ในการเดินทางมาถึงประเทศฝรั่งเศสของเธอในปีค.ศ. 1979
- ชีรักชื่นชอบชาวอินเดียน ไทโน ซึ่งเป็นอินเดียนแดงจากอเมริกากลาง และชนเผ่าพื้นเมืองมาก เขาได้ร่วมเล่าถึงความชอบส่วนตัวในรายการ "แซร์เคลอ เดอ มีนุึย" (ชมรมเที่ยงคืน) ของ มีเชล ฟีล ในปีค.ศ. 1994
- ชีรักเคยแปลบทกวีภาษาจีนบทหนึ่ง ตั้งแ่ต่สมัยที่เขาเป็นนักเรียน ชีรักพูดภาษาจีนกลางได้อย่างฉะฉาน และยังเคยสนทนาเป็นภาษาจีนกับกง ลี่อีกด้วย
- การตัดสินใจดำเินินการทดลองนิวเคลียร์ต่อไป ทันทีที่เขาเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศส เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดอัลบั้มรวมเพลงภาษาเยอรมันที่ชื่อว่า "หยุดชีรัก" จากแนวคิดของวงดี อาซเตอ และดี ฟานตาสทิสเชน เวียร์ ดี โทเทน โฮเซน รวมถึง เฟตเตส บรอต ภาพปกของอัลบั้มนี้เปรียบเทียบระเบิดนิวเคลียร์ กับองคชาติที่กำลังตื่นตัวอย่างชัดเจน
[แก้] หนังสือเกี่ยวกับชีรัก
[แก้] งานเขียนเชิงวิชาการ
- วิทยานิพนธ์ของสถาบันการเมืองศึกษา เรื่อง การพัฒนาท่าเรือเมืองนิวออร์ลีน ค.ศ. 1954
- คำปราศรัยสำหรับฝรั่งเศสในยามที่้ต้องตัดสินใจ ค.ศ. 1978
- แสงทองแห่งความหวัง: การครุ่นคิดจากกลางคืนจนถึงรุ่งเช้า ค.ศ. 1978
- ฝรั่งเศสใหม่ แนวคิดหมายเลข 1 ค.ศ. 1994
- ฝรั่งเศสสำหรับทุกคน ค.ศ. 1995
[แก้] หนังสือหรือบทความ
- À la découverte de leurs racines, tome I, chapitre Jacques Chirac, de Joseph Valynseele et Denis Grando. (L'Intermédiaire des Chercheurs et Curieux, 1988.) ;
- Chirac ou la fringale du pouvoir. Alain Moreau, 1977. par Henri Deligny ;
- Jacques Chirac, de Franz-Olivier Giesbert, Paris : éditions du Seuil, 1987. ISBN 2-02009-771-0 ;
- Le vrai visage de Jacques Chirac. Faits et documents. 1995 par Emmanuel Ratier;
- L'Homme qui ne s'aimait pas, par Éric Zemmour ;
- Chirac, père et fille par Claude Angeli et Stéphanie Mesnier (Grasset) ;
- Noir Chirac, de François-Xavier Vershaeve, Les Arènes, 2002 ;
- Chirac ? On vous avait prévenus. Syllepse, 2002. par Henri Deligny ;
- Jacques a dit, de Jérôme Duhamel, 1997. Recueil de citations de Chirac, groupées malicieusement ;
- D'un Chirac l'autre, de Bernard Billot, Paris : éditions Bernard de Fallois, 16 mars 2005. 558 p. ISBN 2-87706-555-3.