ประเทศสเปน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
|
|||||
คำขวัญ: Plus Ultra (ละติน: "มากกว่าอย่างยิ่ง") |
|||||
เพลงชาติ: มาร์ชาเรอัล | |||||
เมืองหลวง | มาดริด |
||||
เมืองใหญ่สุด | มาดริด | ||||
ภาษาราชการ | ภาษาสเปน1 | ||||
รัฐบาล | ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ | ||||
สมเด็จพระราชาธิบดี นายกรัฐมนตรี |
ควน การ์โลสที่ 1 แห่งสเปน โคเซ่ ลุยส์ โรดรีเกซ ซาปาเตโร |
||||
การสร้างชาติ • การดองกันของราชวงศ์ • รวมเป็นประเทศ • โดยพฤตินัย • โดยนิตินัย |
พ.ศ. 2035 พ.ศ. 2259 พ.ศ. 2355 |
||||
เข้าร่วม EU | 1 มกราคม พ.ศ. 2529 | ||||
เนื้อที่ - ทั้งหมด - พื้นน้ำ (%) |
504,782 กม.² (อันดับที่ 50) 194,897 ไมล์² 1.04% |
||||
ประชากร - ม.ค. 49 ประมาณ - 2545 - ความหนาแน่น |
46.061.274 (อันดับที่ 27) 40,847,371 87.2/กม² (อันดับที่ 84) 225.8/ไมล์² |
||||
GDP (PPP) - รวม - ต่อประชากร |
2548 ค่าประมาณ 1.014 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 11) 26,320 ดอลลาร์สหรัฐ (อันดับที่ 26) |
||||
HDI (2546) | 0.928 (อันดับที่ 21) – สูง | ||||
สกุลเงิน | ยูโร (€)2 (EUR ) |
||||
เขตเวลา - ฤดูร้อน (DST) |
CET3 (UTC+1) | ||||
รหัสอินเทอร์เน็ต | .es | ||||
รหัสโทรศัพท์ | +34 |
||||
Note 1: ภาษาคาตาลัน ภาษาบาสก์ และภาษากาลิเซียเป็นภาษาราชการร่วมในบางแคว้นปกครองตนเอง ส่วนภาษาอารันเป็นภาษาราชการร่วมในบัลดารัน Note 2: ก่อนหน้าปี พ.ศ. 2542: เปเซตา Note 3: ยกเว้นหมู่เกาะคะเนรีซึ่งอยู่ในเขตเวลามาตรฐานกรีนิชและ UTC+1 (ในฤดูร้อน) |
สเปน (Spain) หรือชื่อทางการคือ ราชอาณาจักรสเปน (Kingdom of Spain) เป็นประเทศทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป ตั้งอยู่บนคาบสมุทรไอบีเรีย ร่วมกับโปรตุเกสและอันดอร์รา สเปนมีพรมแดนติดกับฝรั่งเศสทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตามแนวเทือกเขาพีเรนีส
พื้นที่ของสเปนรวมถึงหมู่เกาะแบลิแอริกในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน หมู่เกาะคะเนรีในมหาสมุทรแอตแลนติก เมืองเซวตา และเมืองเมลียา ในทวีปแอฟริกาตอนเหนือ (สเปนจึงมีอาณาเขตติดต่อกับโมร็อกโกด้วย) และเกาะเล็ก ๆ เป็นจำนวนมากที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ทางด้านทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของช่องแคบยิบรอลตาร์ ที่เรียกว่า ปลาซัสเดโซเบรานีอา (Plazas de soberanía) เช่น เกาะชาฟารีนัส เกาะอัลโบรัง เกาะเบเลซเดลาโกเมรา เกาะอะลูเซมัส และเกาะเปเรคิล ทางทิศเหนือในแนวเทือกเขาพีเรนีส เมืองเล็ก ๆ ที่เป็นดินแดนส่วนแยก (exclave) ชื่อ ยีเบีย (Llívia) ในแคว้นคาตาโลเนีย มีดินแดนประเทศฝรั่งเศสล้อมรอบอยู่
สเปนปกครองโดยพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญและรัฐสภา ที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ตั้งแต่มีการผ่านรัฐธรรมนูญของสเปนเมื่อปี พ.ศ. 2521 (ค.ศ. 1978)
ชื่อประเทศ สเปน (Spain หรือ España ในภาษาสเปน) มาจากชื่อเรียกในภาษาละตินว่า ฮิสปาเนีย (Hispania)
สารบัญ |
[แก้] ประวัติศาสตร์
- ดูบทความหลักที่ ประวัติศาสตร์สเปน
[แก้] ยุคก่อนประวัติศาสตร์และก่อนโรมัน
หลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์แรกสุดของมนุษย์วานรโฮมินิดส์ที่อาศัยอยู่ในยุโรปถูกค้นพบที่ถ้ำอาตาปวยร์กา (Atapuerca) ในสเปน ซึ่งกลายเป็นกุญแจสำคัญของการศึกษาบรรพชีวินวิทยาของโลก เนื่องจากได้ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ที่มีอายุประมาณ 1 ล้านปีที่นั่นด้วย
มนุษย์สมัยใหม่พวกโครมันยองได้เริ่มเข้ามาในคาบสมุทรไอบีเรียจากทางเหนือของเทือกเขาพีเรนีสเมื่อ 35,000 ปีมาแล้ว สัญลักษณ์ที่โดดเด่นของการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์คือ ภาพวาดที่มีชื่อเสียงในถ้ำอัลตามีรา (Altamira) ทางภาคเหนือ เขียนขึ้นเมื่อ 15,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช และได้รับการยกย่องร่วมกับภาพเขียนที่ปรากฏในถ้ำลาสโก (Lascaux) ประเทศฝรั่งเศส ในฐานะตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของจิตรกรรมถ้ำ
วัฒนธรรมเมืองแรกเริ่มสุดที่ถูกอ้างถึงในเอกสารได้แก่ เมืองกึ่งโบราณทางภาคใต้ที่มีชื่อว่า ตาร์เตสโซส (Tartessos) ก่อนปี 1100 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวฟีนิเชียน กรีก และคาร์เทจที่ท่องไปตามท้องทะเลได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งตามชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนหลายครั้งและได้ตั้งอาณานิคมการค้าขึ้นที่นั่นอยู่เป็นเวลาหลายศตวรรษ
ประมาณปี 1100 ก่อนคริสต์ศักราช พ่อค้าชาวฟีนิเชียนได้มาตั้งสถานีการค้าที่เมืองกาดีร์ (ปัจจุบันคือเมืองกาดิซ) ใกล้กับตาร์เตสโซส ในศตวรรษที่ 9 ก่อนคริสต์ศักราช นิคมชาวกรีกแห่งแรก ๆ เช่น เอมโพเรียน (เอมปูเรียสในปัจจุบัน) เป็นต้น เกิดขึ้นตามชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันออก ส่วนชายฝั่งทางใต้เป็นนิคมฟีนิเชียน
ในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวคาร์เทจได้มาถึงไอบีเรียขณะที่เกิดการต่อสู้กับชาวกรีก (และชาวโรมันในเวลาต่อมา) เพื่อควบคุมบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตก อาณานิคมคาร์เทจที่สำคัญที่สุดคือ คาร์ทาโกโนวา (Carthago Nova) ซึ่งเป็นชื่อภาษาละตินของเมืองการ์ตาเคนาในปัจจุบัน
ชนพื้นเมืองที่ชาวโรมันพบขณะที่ขยายอำนาจเข้าไปในบริเวณสเปนปัจจุบันนั้น คือพวกไอบีเรียน (Iberians) อาศัยอยู่ตั้งแต่ส่วนตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรตลอดจนถึงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพวกเซลต์ (Celts) ที่ส่วนใหญ่ตั้งหลักแหล่งอยู่ทางเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทร ส่วนทางตอนในซึ่งเป็นที่ที่ชนทั้งสองกลุ่มได้เข้ามาติดต่อกัน ได้เกิดกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรมแบบผสมและเป็นลักษณะเฉพาะตัว คือ เซลติเบเรียน (Celtiberian)
[แก้] การรุกรานของจักรวรรดิโรมันและพวกเยอรมัน
ชาวโรมันเข้ามาในคาบสมุทรไอบีเรียระหว่างสงครามพิวนิกครั้งที่ 2 ในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช ผนวกดินแดนนี้ให้อยู่ภายใต้อำนาจของจักรพรรดิออกุสตุส (Augustus) หลังจากสงครามผ่านไปสองศตวรรษ ดินแดนของพวกไอบีเรียน เซลต์ กรีก ฟีนิเชียน และคาร์เทจ ได้กลายเป็นจังหวัดฮิสปาเนีย (Hispania)
ฮิสปาเนียจัดส่งอาหาร น้ำมันมะกอก ไวน์ และโลหะให้กับโรม จักรวรรดิโรมันปกครองฮิสปาเนียอยู่ประมาณ 500 ปี การล่มสลายลงของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในเวลาต่อมาไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับสังคมชั้นสูงตะวันตกเหมือนที่เกิดขึ้นในบริเตน โกล และเจอร์มาเนียอินเฟอเรียร์ระหว่างยุคมืด ภาษาต่าง ๆ ของสเปนในปัจจุบันรวมทั้งศาสนาและข้อกฎหมายพื้นฐานต่างมีจุดกำเนิดในช่วงสมัยนี้ เป็นเวลาหลายศตวรรษที่การปกครองและการตั้งถิ่นฐานของโรมันอย่างไม่ขาดสายนั้นได้ทิ้งร่องรอยหยั่งลึกและทนทานไว้ในวัฒนธรรมสเปน
เมื่อโรมันเสื่อมลง อนารยชนพวกแรกก็เริ่มเข้ารุกรานสเปนในคริสต์ศตวรรษที่ 5 ชนเผ่ากอท วิซิกอท ซูเอบี อะลัน อัสดิง และวันดัลได้ข้ามแนวเขาพีเรนีสเข้ามา ชนเผ่าเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นต้นกำเนิดชาติพันธุ์เยอรมัน เหตุการณ์นี้นำไปสู่การก่อตั้งราชอาณาจักรซูเอบีในกัลไลเคียทางตะวันตกเฉียงเหนือ และราชอาณาจักรวิซิกอทในส่วนที่เหลือ (ภายหลังวิซิกอทซึ่งเป็นคริสเตียนได้ขยายอำนาจครอบคลุมคาบสมุทรไอบีเรียทั้งหมดไว้ได้และปกครองประมาณ 200 ปี) ช่องโค้งรูปเกือกม้า (horseshoe arch) ที่มีชื่อเสียงและได้รับการดัดแปลงและปรับปรุงให้ดีขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์โดยชาวมุสลิมในสมัยหลังนั้นเป็นตัวอย่างดั้งเดิมของศิลปะวิซิกอท (Visigothic art)
[แก้] สเปนมุสลิม
ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 (711-718) กลุ่มคนที่พูดภาษาอาหรับจากแอฟริกาเหนือที่เรียกว่า มัวร์ (Moors) ได้เข้ายึดครองไอบีเรียอย่างรวดเร็วและปกครองอยู่เป็นเวลาถึง 800 ปี กลุ่มนี้เป็นพวกมุสลิม ดังนั้นสเปนมุสลิมจึงเป็นส่วนที่อยู่ทางตะวันตกไกลที่สุดของเขตอารยธรรมอิสลาม มีเพียงสามแคว้นเล็ก ๆ ทางภาคเหนือของสเปนเท่านั้นที่ยังมีเอกราชเป็นของตนเอง ได้แก่ อัสตูเรียส นาวาร์ และอารากอน ซึ่งได้กลายเป็นราชอาณาจักรไปภายหลัง
อารยธรรมอิสลามนี้มีความก้าวหน้าในด้านสถาปัตยกรรมและการวางผังเมือง แขกมัวร์ที่มีฐานะค่อนข้างร่ำรวยเนื่องจากควบคุมการค้าทองคำที่มาจากจักรวรรดิกานาในแอฟริกาตะวันตกได้สร้างสิ่งก่อสร้างสวยงามขึ้นมากมาย โดยเฉพาะทางภาคใต้ของประเทศในแคว้นอันดาลูเซีย (Andalusia) เราจะพบเห็นสิ่งก่อสร้างของพวกมุสลิมที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในแคว้นนี้หลายแห่ง เช่นที่เมืองเซวิลล์ กรานาดา และกอร์โดบา เป็นต้น
สังคมอัลอันดะลุส (สเปนมุสลิม) มีลักษณะพหุวัฒนธรรมและเปิดกว้างกับชาวยิว คริสเตียน และมุสลิมซึ่งอยู่ร่วมกันอย่างสงบและช่วยเหลือกัน อย่างไรก็ตาม ในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ภาคเหนือและภาคกลางของไอบีเรียก็กลับไปอยู่ในการปกครองของชาวคริสต์อีกครั้ง
[แก้] การพิชิตดินแดนคืนและการรวมอาณาจักร
หลังจากการรุกรานของพวกมัวร์ 11 ปี ช่วงเวลาอันยาวนานในการขยายตัวของอาณาจักรคริสต์ที่เรียกว่า การพิชิตดินแดนคืน (Reconquista) ก็ได้เริ่มต้นในปี ค.ศ. 722 (พ.ศ. 1265) พร้อมกับความพ่ายแพ้ของพวกมุสลิมในยุทธการที่โกบาดองกา (Battle of Covadonga) และการก่อตัวของอาณาจักรอัสตูเรียส ต้นปี ค.ศ. 739 (พ.ศ. 1282) กองกำลังของมุสลิมของถูกผลักดันออกไปจากกาลิเซียซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองซันเตียโกเดก็อมโปสเตลา (Santiago de Compostela) หนึ่งในสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนาคริสต์ ในไม่ช้า พื้นที่ภูเขาทางตอนเหนือและรอบ ๆ เมืองบาร์เซโลนาก็ถูกกองกำลังท้องถิ่นและกองกำลังของพวกแฟรงก์เข้ายึดได้และกลายเป็นฐานที่มั่นของชาวคริสต์ในสเปน รวมทั้งการยึดเมืองโตเลโดทางภาคกลางได้ในปี ค.ศ. 1085 (พ.ศ. 1628) ทำให้ส่วนครึ่งเหนือของสเปนเป็นของชาวคริสต์ทั้งหมด
พอถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 จักรวรรดิมุสลิมอัลโมราวิด (Almoravid) ซึ่งเคยขยายอาณาเขตไปได้ไกลถึงเมืองซาราโกซาก็เริ่มแตกแยก ที่มั่นต่าง ๆ ของพวกมัวร์ที่เคยแข็งแกร่งทางภาคใต้ก็ตกเป็นของชาวคริสต์สเปน เช่น เมืองกอร์โดบาถูกยึดได้ในปี ค.ศ. 1236 (พ.ศ. 1779) เมืองเซบียาถูกยึดได้ในปี ค.ศ. 1248 (พ.ศ. 1791) เป็นต้น จากนั้นไม่กี่ปี ดินแดนเกือบทั้งหมดในคาบสมุทรไอบีเรียก็ถูกพิชิตกลับคืนมาได้สำเร็จ ยกเว้นอยู่เพียงเมืองกรานาดาเท่านั้นที่ยังคงเป็นดินแดนแทรกของพวกมุสลิม
ในปี ค.ศ. 1478 (พ.ศ. 2021) พระเจ้าเฟอร์ดินันด์ที่ 2 แห่งอารากอนทรงสนับสนุนให้ก่อตั้งศาลศาสนาสเปน (Spanish Inquisition) และในปี ค.ศ. 1479 (พ.ศ. 2022) อาณาจักรคริสต์สองแห่งคือคัสตีลและอารากอนก็ได้รวมเข้าด้วยกัน เมื่อพระเจ้าเฟอร์ดินันด์ที่ 2 ทรงราชาภิเษกสมรสกับพระราชินีอิซาเบลลาที่ 1 แห่งคัสตีล
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1492 (พ.ศ. 2035) คัสตีลและอารากอนจึงสามารถยึดกรานาดา ดินแดนแห่งสุดท้ายของพวกมัวร์ในไอบีเรียได้สำเร็จ โบอับดิล (Boabdil) เจ้าชายมัวร์องค์สุดท้ายแห่งกรานาดายอมแพ้ต่อพระเจ้าเฟอร์ดินันด์ที่ 2 ในวันที่ 2 มกราคม โดยสนธิสัญญากรานาดาได้ยืนยันการผ่อนปรนทางศาสนาต่อชาวมุสลิม ในขณะที่ชาวยิวกว่า 2 แสนคนในสเปนถูกขับไล่ออกไปในปีนั้นเอง
ในปีเดียวกัน (1492) พระราชินีอิซาเบลลาที่ 1 ก็ทรงสนับสนุนให้คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางทิศตะวันตก ซึ่งโคลัมบัสก็ได้ค้นพบโลกใหม่ (New World) ได้แก่ เกาะต่าง ๆ ในทะเลแคริบเบียนรวมทั้งดินแดนอื่น ๆ ในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ตามสนธิสัญญาตอร์เดซียัส (Treaty of Tordesillas) ในปี ค.ศ. 1494 โลกได้ถูกแบ่งเป็นสองส่วนระหว่างโปรตุเกสและคัสตีลโดยมีแนวเหนือ-ใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นเส้นแบ่ง
เมื่อยึดครองกรานาดาได้สำเร็จ และยึดครองนาวาร์ได้ในปี ค.ศ. 1512 (พ.ศ. 2055) แล้ว คำว่า สเปน (Spain; España) ก็เริ่มถูกนำมาใช้เพื่อเรียกชื่อของราชอาณาจักรที่รวมกันใหม่นี้เท่านั้น ซึ่งยังไม่ได้เรียกรวมถึงดินแดนฮิสปาเนียทั้งหมด
[แก้] คริสต์ศตวรรษที่ 16-17
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึง 17 เป็นช่วงแห่งความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปะและอักษรศาสตร์ในจักรวรรดิสเปน จึงเรียกช่วงนี้ว่ายุคทองของสเปน (Spanish Golden Age) โดยมีจักรพรรดิปกครองในราชวงศ์ฮับสบูร์ก (Habsburg)
สเปนได้ส่งทหารและพ่อค้าจำนวนมากเข้าไปในทวีปอเมริกาเพื่อยึดครองดินแดนต่าง ๆ ในทวีปแห่งนั้นมาเป็นของตน โดยมีอาณานิคมมากมายในทวีปแห่งนั้น ตั้งแต่ชิลีและอาร์เจนตินาไปจนถึงอเมริกากลาง เม็กซิโก บางรัฐของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ซึ่งได้แก่ ฟลอริดา แคลิฟอร์เนีย แอริโซนา นิวเม็กซิโก และเทกซัส รวมทั้งบางส่วนของโอคลาโฮมา โคโลราโด และไวโอมิง ดังนั้น ชาวสเปนจึงเป็นผู้ก่อตั้งเมืองต่าง ๆ ในดินแดนเหล่านั้น เช่น โลสอังเคเลส ซันตาเฟ และซันอันโตเนียว เป็นต้น การพิชิตจักรวรรดิต่าง ๆ และนำของมีค่ากลับมา ทำให้สเปนกลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยมาก โดยได้ครอบครองดินแดนเหล่านั้นอยู่เป็นเวลานานกว่า 300 ปี
ในขณะเดียวกัน เอกสารมุสลิมในสเปนได้ถูกเผาทำลายหรือนำไปไว้ที่ดินแดนอื่น ชาวยิวก็ถูกขับไล่ออกไปด้วย สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่เล็กน้อย ได้แก่ ความไพเราะกลมกลืนและเครื่องสายของดนตรี รวมทั้งสิ่งก่อสร้าง ที่หลายแห่งได้กลายเป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์ โดยการประดับไม้กางเขนเข้าไป
[แก้] คริสต์ศตวรรษที่ 18-19
ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 เกิดปัญหาว่าใครควรจะขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ จึงทำให้กษัตริย์ยุโรปหลายพระองค์ทรงสู้รบกันในสงครามสืบราชสมบัติสเปน (War of the Spanish Succession) เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ราชวงศ์ใหม่จากฝรั่งเศส คือ ราชวงศ์บูร์บง (Bourbon) ได้รับการสถาปนาขึ้นในสเปนโดยกษัตริย์พระองค์แรก คือ พระเจ้าฟิลิปที่ 5 ในปี ค.ศ. 1707 พระองค์ได้ทรงรวมราชอาณาจักรคัสตีลกับอารากอนเข้าเป็นหนึ่งเดียว รวมเป็นราชอาณาจักรสเปน ล้มล้างสิทธิพิเศษและความเป็นอิสระ (บทกฎหมาย) ของแต่ละภูมิภาคซึ่งเคยเป็นอุปสรรคต่อการปกครองของราชวงศ์ฮับสบูร์ก
หลังจากสงคราม การขยายตัวของอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าในแคว้นบาสก์ก็ได้สร้างความเจริญเติบโตให้กับการต่อเรือ การเพิ่มมูลค่าทางการค้าและการผลิตอาหารค่อย ๆ ได้รับการฟื้นฟูขึ้น จำนวนประชากรในแคว้นคัสตีลก็เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ กษัตริย์ราชวงศ์บูร์บงได้ใช้ระบบของฝรั่งเศสเพื่อพยายามทำให้การบริการและเศรษฐกิจมีความทันสมัยยิ่งขึ้น
แต่เมื่อเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 19 สเปนก็กลับยากจนและอ่อนแอลง ตรงกันข้ามกับการเติบโตในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 รวมทั้งถูกฝรั่งเศสที่นำโดยนโปเลียนเข้ารุกราน จนอังกฤษและโปรตุเกสต้องส่งกองทัพเข้าช่วยเหลือป้องกันและขับไล่ออกไปได้ในปี ค.ศ. 1804 (พ.ศ. 2347) ซึ่งการรุกรานของฝรั่งเศสดังกล่าวก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจของสเปน และยังทำให้ประเทศตกอยู่ในสภาวะไม่มั่นคงทางการเมืองอีกด้วย ช่องว่างแห่งอำนาจที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1808 (พ.ศ. 2351) ถึงปี ค.ศ. 1814 (พ.ศ. 2357) ได้เปิดโอกาสให้ดินแดนต่าง ๆ มีอำนาจปกครองอย่างอิสระ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1809 (พ.ศ. 2352) อาณานิคมในทวีปอเมริกาเริ่มปลดปล่อยตนเองให้หลุดพ้นจากการปกครองของสเปน และเมื่อถึงปี ค.ศ. 1825 (พ.ศ. 2368) สเปนก็เสียอาณานิคมในลาตินอเมริกาไปทั้งหมด (ยกเว้นคิวบาและเปอร์โตริโก)
และเมื่อสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 19 สเปนก็สูญเสียดินแดนที่ยังเหลืออยู่ในทะเลแคริบเบียนและเอเชีย-แปซิฟิกไป ซึ่งได้แก่ คิวบา เปอร์โตริโก และสแปนิชอีสต์อินดีส (เฉพาะฟิลิปปินส์และกวม) ให้กับสหรัฐอเมริกา หลังจากถูกผลักดันให้สู้รบในสงครามสเปน-อเมริกัน (Spanish-American War) ค.ศ. 1898 (พ.ศ. 2441) อย่างไม่เจตนาและไม่สมัครใจ ต่อมาในปี ค.ศ. 1899 (พ.ศ. 2442) สเปนได้ขายดินแดนสแปนิชอีสต์อินดีสที่เหลือในมหาสมุทรแปซิฟิก ได้แก่ หมู่เกาะมาเรียนา หมู่เกาะคาโรไลน์ และหมู่เกาะปาเลาให้กับเยอรมนี (ส่วนสแปนิชโมร็อกโก สแปนิชสะฮารา และสแปนิชกินีซึ่งเป็นอาณานิคมในทวีปแอฟริกาได้รับเอกราชในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20)
[แก้] คริสต์ศตวรรษที่ 20
ในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ประเทศสเปนก็ยังไม่อยู่ในความสงบเท่าใดนัก ชาวสเปนบางคนพยายามจะจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน (ระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ) และผลักดันให้กษัตริย์ออกไปจากประเทศ อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1936 (พ.ศ. 2479) ความขัดแย้งระหว่างชาวสเปนกลุ่มที่นิยมประชาธิปไตยกับชาวสเปนที่นิยมเผด็จการได้ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองสเปน (Spanish Civil War) ขึ้น จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1939 (พ.ศ. 2482) ฝ่ายนิยมประชาธิปไตยพ่ายแพ้ และเผด็จการที่มีชื่อว่า ฟรันซิสโก ฟรังโก (Francisco Franco) ได้เข้ามามีอำนาจในรัฐบาล
หลังจากจอมพลฟรังโกถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) เจ้าชายควน การ์โลส (Prince Juan Carlos) ผู้เป็นพระราชนัดดาของกษัตริย์สเปนที่ถูกผลักดันให้ออกจากประเทศ ทรงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งสเปน จากการรับรองรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสเปน ปี ค.ศ. 1978 การเข้ามาของระบอบประชาธิปไตยได้ทำให้แคว้นบางแห่ง ได้แก่ บาสก์และนาวาร์ ได้รับอัตตาณัติ (ความเป็นอิสระ) ทางการเงินอย่างสมบูรณ์ และแคว้นหลายแห่ง ได้แก่ บาสก์ คาตาโลเนีย กาลิเซีย และอันดาลูเซียก็ได้รับสิทธิในการปกครองตนเอง ซึ่งต่อมาก็ได้ขยายไปสู่แคว้นอื่น ๆ ในสเปนเช่นกัน ทำให้สเปนกลายเป็นเป็นประเทศที่มีการกระจายอำนาจทางการปกครองมากที่สุดในยุโรปตะวันตก แต่ในแคว้นบาสก์ยังคงมีลัทธิชาตินิยมหัวรุนแรงซึ่งสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อการร้ายเอตา (ETA) ให้ก่อวินาศกรรมเพื่อแยกแคว้นนี้เป็นประเทศเอกราช
ตั้งแต่รัฐธรรมนูญสเปนฉบับปัจจุบันผ่านความเห็นชอบในปี ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521) ประเทศสเปนมีนายกรัฐมนตรี (Presidentes del Gobierno) มาแล้ว 5 คน ได้แก่
- นายอาดอลโฟ ซูอาเรซ กอนซาเลซ (Adolfo Suárez González) ค.ศ. 1977-1981 (พ.ศ. 2520-2524)
- นายเลโอปอลโด กัลโบ โซเตโล อี บุสเตโล (Leopoldo Calvo Sotelo y Bustelo) ค.ศ. 1981-1982 (พ.ศ. 2524-2525)
- นายเฟลีเป กอนซาเลซ มาร์เกซ (Felipe González Márquez) ค.ศ. 1982-1996 (พ.ศ. 2525-2539)
- นายโคเซ่ มารีอา อัซนาร์ โลเปซ (José María Aznar López) ค.ศ. 1996-2004 (พ.ศ. 2539-2547)
- นายโคเซ่ ลุยส์ โรดรีเกซ ซาปาเตโร (José Luis Rodríguez Zapatero) ค.ศ. 2004-ปัจจุบัน
ทุกวันนี้ สเปนเป็นประเทศประชาธิปไตยสมัยใหม่ ทำธุรกิจติดต่อค้าขายกับหลายประเทศในโลก รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป และใช้สกุลเงินยูโรในฐานะสกุลเงินประจำชาติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2542
[แก้] การเมือง
ประเทศสเปนมีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาโดยมีกษัตริย์เป็นประมุข มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 (1978) หลังจากที่ถูกปกครองภายใต้ระบอบเผด็จการโดยจอมพลฟรังโก มา 36 ปี (พ.ศ. 2482-2521) ในปี พ.ศ. 2521 เมื่อสเปนเปลี่ยนมาปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น คือ รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2521 ซึ่งมีผลบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน
[แก้] ประมุขแห่งรัฐ
ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของสเปน พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐและทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพสเปน
- ทรงมีพระราชอำนาจที่จะอนุมัติและประกาศใช้พระราชบัญญัติต่าง ๆ
- เรียกประชุม ยุบรัฐสภา และประกาศให้มีการเลือกตั้ง
- ทรงเสนอนามผู้ที่ทรงเห็นว่าสมควรจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมทั้งทรงแต่งตั้งและถอดถอนนายกรัฐมนตรีภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
- ทั้งนี้ พระราชกรณียกิจเกี่ยวกับราชการจะต้องมีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องผู้หนึ่ง ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และผู้รับสนองพระบรมราชโองการจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในพระราชกรณียกิจนั้น ๆ
[แก้] รัฐสภา
รัฐสภาสเปน คือ สภากอร์เตส (Las Cortes) ทำหน้าที่เป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติของรัฐ ให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับงบประมาณ ควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล ใช้อำนาจอื่น ๆ ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
รัฐสภาสเปนประกอบด้วย
- สภาผู้แทนราษฎร (Congress of Deputies - Congreso de los Diputados) ประกอบด้วยสมาชิกอย่างน้อย 300 คน และอย่างมาก 400 คน ขึ้นอยู่กับการแบ่งเขตเลือกตั้งและจำนวนพลเมือง ปัจจุบันสภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิกทั้งหมด 350 คน และอยู่ในตำแหน่งวาระละ 4 ปี
- วุฒิสภา (Senate - Senado) รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องมีจำนวนสมาชิกเท่าใด แต่กำหนดให้เลือกตั้งทำนองเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปัจจุบันวุฒิสภามีสมาชิก 259 คน โดยสมาชิก 208 คนจะได้รับการเลือกตั้งโดยตรง และ 51 คน จะได้รับแต่งตั้งจากแคว้นต่าง ๆ 19 แคว้นสมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งวาระละ 4 ปี
หลักเกณฑ์การเลือกตั้งกำหนดไว้ว่า ผู้ที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจะต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ สำหรับผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง ในกรณีที่เป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล (ไม่รวมถึงนายกรัฐมนตรี) ข้าราชการพลเรือน และทหาร จะต้องลาออกจากตำแหน่งก่อนจึงจะมีสิทธิสมัครเข้ารับเลือกตั้งได้
[แก้] รัฐบาล
ตามรัฐธรรมนูญของสเปน รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจและหน้าที่ฝ่ายบริหารภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมาย เป็นผู้กำหนดและดำเนินนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศ รวมทั้งการป้องกันประเทศ รัฐบาลประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี (President of the Government) รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีอื่น ๆ ตามที่กำหนดไว้โดยกฎหมายในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี พระมหากษัตริย์จะทรงปรึกษาหารือกับผู้แทนของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่มีสมาชิกอยู่ในรัฐสภา แล้วเสนอชื่อผู้ที่เห็นสมควรได้รับการเลือกตั้งไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอรับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนนเสียงข้างมากโดยเด็ดขาด (absolute majority) พระมหากษัตริย์จะได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้เสนอรายชื่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้พระมหากษัตริย์มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องขอรับความไว้วางใจจากรัฐบาลอีก รัฐบาลมีวาระ 4 ปี หรือจนกว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไป
[แก้] พรรคการเมือง
สเปนมีพรรคการเมืองที่สำคัญ ดังนี้
1. พรรคสังคมนิยมแรงงานสเปน (Partido Socialista Obrero Espanol: PSOE) เป็นพรรคสังคมนิยมแรงงาน มีนายโคเซ่ ลุยส์ โรดรีเกซ ซาปาเตโร (José Luis Rodríguez Zapatero) เป็นเลขาธิการพรรค (General Secretary) มีอุดมการณ์ทางการเมืองซึ่งไม่ซ้ายจัดนัก หรือที่เรียกว่า middle left center เป็นพรรคที่มีบทบาทสำคัญและเป็นรัฐบาลของสเปนมายาวนานถึง 14 ปี (2225-2539 และ 2547-ปัจจุบัน)
2. พรรคประชานิยม (Partido Popular: PP) พรรคฝ่ายขวาแบบ center-right เป็นพรรครัฐบาลในสมัยที่ผ่านมา (พฤษภาคม 2539 - มีนาคม 2543) และได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2543 เป็นสมัยที่ 2 หัวหน้าพรรค คือ นายมาเรียโน ราโคย เบรย์ (Mariano Rajoy Brey) นโยบายหลักของพรรคโดยทั่วไป คือ สนับสนุนการค้าเสรี ร่วมมืออย่างใกล้ชิดทางการเมืองและเศรษฐกิจกับสหภาพยุโรป
3. พรรคสหภาพฝ่ายซ้าย (Izquierda Unida: IU) แต่เดิมคือพรรคคอมมิวนิสต์ มีนายกัสปาร์ ยามาซาเรส ตรีโก (Gaspar Llamazares Trigo) เป็นเลขาธิการพรรค (General Secretary)
4. พรรค Convergencia i Unio - CiU (Convergence and Union) เป็นพรรคจากแคว้นคาตาโลเนีย มีนายอาร์ตูร์ มัส อี กาบาร์โร (Artur Mas i Gavarró) เป็นหัวหน้าพรรค
5. พรรคชาตินิยมบาสก์ (Partido Nacionalista Vasco: PNV) เป็นพรรคการเมืองของแคว้นบาสก์ มีนายโคซู คอง อีมัซ ซัน มีเกล (Josu Jon Imaz San Miguel) เป็นหัวหน้าพรรค
6. พรรคผสมคะเนรี (Coalición Canaria: CC) พรรคการเมืองซึ่งเป็นตัวแทนของหมู่เกาะคะเนรี มีนายเปาลีโน รีเบโร เบาเต (Paulino Ribero Baute) เป็นหัวหน้าพรรค
[แก้] การแบ่งเขตการปกครอง
ประเทศสเปนแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 17 แคว้นปกครองตนเอง (autonomous communities) และ 2 นครปกครองตนเอง (autonomous cities) แต่ละแคว้นจะแบ่งย่อยออกไปอีกเป็น จังหวัด (provinces) รวมทั้งหมด 50 จังหวัด
[แก้] แคว้นและนครปกครองตนเอง
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปิดโอกาสให้แคว้นต่าง ๆ มีสิทธิในการปกครองตนเองได้ ในระดับที่ต่างกันตามภูมิหลังการปกครองตนเองของแต่ละแคว้น โดยที่แต่ละแคว้นมีสภาของตนเอง มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาทุก ๆ 4 ปี และได้รับสิทธิและอำนาจบริหารท้องถิ่นของตนเอง ทั้งนี้จะอยู่ภายใต้รัฐบาลสเปน โดยแคว้นปกครองตนเอง (autonomous communities - comunidades autónomas) และนครปกครองตนเอง* (autonomous cities - ciudades autónomas) ของประเทศสเปน ประกอบด้วย
|
|
[แก้] จังหวัด
นอกจากแคว้นปกครองตนเองดังกล่าวแล้ว สเปนยังมีโครงสร้างจังหวัดอีกด้วย โดยแบ่งออกเป็น 50 จังหวัด (provinces - provincias) โครงสร้างนี้เป็นโครงสร้างรอง ถัดจากระดับแคว้นปกครองตนเองลงไป (ย้อนไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2376) ดังนั้น แคว้นปกครองตนเองจึงเกิดขึ้นจากกลุ่มของจังหวัด (เช่น แคว้นปกครองตนเองเอซเตรมาดูราประกอบด้วยจังหวัดกาเซเรสและจังหวัดบาดาโคซ) แต่แคว้นปกครองตนเองอัสตูเรียส หมู่เกาะแบลิแอริก กันตาเบรีย ลาเรียวคา นาวาร์ มูร์เซีย และมาดริด แต่ละแคว้นดังกล่าวจะมีอยู่เพียงจังหวัดเดียว ตามธรรมเนียมแล้ว จังหวัดต่าง ๆ มักจะถูกแบ่งย่อยลงเป็นภูมิภาคทางประวัติศาสตร์หรือ โกมาร์กัส (comarcas)
[แก้] บริเวณอำนาจอธิปไตย
ประเทศสเปนมีดินแดนส่วนแยกตั้งอยู่ริมและนอกชายฝั่งทวีปแอฟริกาที่มีชื่อเรียกว่า ปลาซัสเดโซเบรานีอา (plazas de soberanía - places of sovereignty) ได้แก่ เซวตา (Ceuta) และเมลียา (Melilla) ซึ่งเป็นนครปกครองตนเอง มีสถานะอยู่ระหว่างระดับเมืองกับระดับแคว้น ส่วนเกาะชาฟารีนัส (Islas Chafarinas) เกาะอะลูเซมัส (Peñón de Alhucemas) และเกาะเบเลซเดลาโกเมรา (Peñón de Vélez de la Gomera) ต่างอยู่ภายใต้การบริหารของสเปน
แม้ว่าหมู่เกาะคะเนรี เซวตา และเมลียาจะไม่ได้เป็นแคว้นทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ แต่ก็มีสถานะพิเศษ
[แก้] ภูมิศาสตร์
ประเทศสเปนมีเนื้อที่ 504,782 ตารางกิโลเมตร (194,884 ตารางไมล์) มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 51 ของโลก (รองจากประเทศไทย) มีขนาดพอ ๆ กับประเทศเติร์กเมนิสถาน และค่อนข้างจะใหญ่กว่ารัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา
[แก้] ที่ตั้ง
ประเทศสเปนตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปยุโรปบนคาบสมุทรไอบีเรีย
- ทิศเหนือ จรดทะเลกันตาเบรีย สาธารณรัฐฝรั่งเศส และราชรัฐอันดอร์รา
- ทิศตะวันออก จรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
- ทิศใต้ จรดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ช่องแคบยิบรอลตาร์ และอ่าวกาดิซ
- ทิศตะวันตก จรดสาธารณรัฐโปรตุเกสและมหาสมุทรแอตแลนติก
[แก้] เขตแดน
- เขตแดนทางบก:
ทั้งหมด: 1,917.8 กิโลเมตร
ประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อ: อันดอร์รา 63.7 กิโลเมตร, ฝรั่งเศส 623 กิโลเมตร, ยิบรอลตาร์ 1.2 กิโลเมตร, โปรตุเกส 1,214 กิโลเมตร, โมร็อกโก (เซวตา) 6.3 กิโลเมตร, โมร็อกโก (เมลียา) 9.6 กิโลเมตร
- ชายฝั่งทะเล:
4,964 กิโลเมตร
- การอ้างสิทธิ์ทางทะเล:
เขตนอกน่านน้ำอาณาเขต: 24 ไมล์ทะเล (44 กิโลเมตร)
เขตเศรษฐกิจจำเพาะ: 200 ไมล์ทะเล (370 กิโลเมตร) (เฉพาะในมหาสมุทรแอตแลนติก)
ทะเลอาณาเขต: 12 ไมล์ทะเล (22 กิโลเมตร)
- ระดับความสูง:
จุดต่ำสุด: มหาสมุทรแอตแลนติก 0 เมตร
จุดสูงสุด: ยอดเขาเตย์เด (Pico del Teide) ในหมู่เกาะคะเนรี สูง 3,718 เมตร หมายเหตุ ภูเขาที่สูงที่สุดในภาคพื้นทวีปของสเปนคือ มูลาเซง (Mulhacén) ในจังหวัดกรานาดา แคว้นอันดาลูเซีย สูง 3,481 เมตร
[แก้] ลักษณะภูมิประเทศ
แผ่นดินใหญ่ของประเทศสเปนมีลักษณะเด่นคือ เป็นที่ราบสูงและแนวภูเขา เช่น เทือกเขาพีเรนีส เซียร์ราเนวาดา โดยมีแม่น้ำสายหลักหลายสายที่ไหลจากบริเวณที่สูงเหล่านี้ ได้แก่ แม่น้ำตาโค (Tajo) แม่น้ำเอโบร (Ebro) แม่น้ำดวยโร (Duero) แม่น้ำกวาเดียนา (Guadiana) และแม่น้ำกวาดัลกีบีร์ (Guadalquivir)
ส่วนที่ราบตะกอนน้ำพาพบได้ทั่วไปตามชายฝั่งทะเล โดยที่มีใหญ่ที่สุดได้แก่ ที่ราบตะกอนน้ำพาของแม่น้ำกวาดัลกีบีร์ในแคว้นอันดาลูเซีย ส่วนในภาคตะวันออกจะมีที่ราบชนิดนี้บริเวณแม่น้ำขนาดกลาง เช่น แม่น้ำเซกูรา (Segura) แม่น้ำคูการ์ (Júcar) แม่น้ำตูเรีย (Turia) เป็นต้น
[แก้] ลักษณะภูมิอากาศ
เนื่องจากตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศสเปนเอง ที่ส่วนเหนือนั้นอยู่ในทิศทางของกระแสลมกรด รวมทั้งสภาพพื้นที่และภูเขา จึงทำให้ภูมิอากาศของประเทศนี้มีความหลากหลายเป็นอย่างมาก โดยสามารถแบ่งเขตอากาศอย่างหยาบ ๆ ได้ตามบริเวณต่าง ๆ ต่อไปนี้:
- ชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนเหนือและตะวันออก (คาตาโลเนีย วาเลนเซียภาคเหนือ และหมู่เกาะแบลิแอริก): ฤดูร้อนมีอากาศอบอุ่นจนถึงร้อนจัด สัมพันธ์กับอากาศที่อบอุ่นจนถึงเย็นในฤดูหนาว มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 600 มิลลิเมตรต่อปี ถือเป็นเขตภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน
- ชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออกเฉียงใต้ (อะลีกันเต มูร์เซีย และอัลเมรีอา): ฤดูร้อนมีอากาศร้อน ส่วนในฤดูหนาวมีอากาศอบอุ่นจนถึงเย็น กาโบเดกาตา (ได้รับรายงานว่าเป็นสถานที่ที่มีอากาศแห้งที่สุดในยุโรป) มีอากาศแห้งมากและกึ่งทะเลทรายอย่างแท้จริง ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมามีเพียง 150 มิลลิเมตรต่อปี ส่วนใหญ่พื้นที่นี้จึงถูกจัดอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบกึ่งแห้งแล้งตามเกณฑ์ปริมาณน้ำฝน
- ชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนใต้ (พื้นที่มาลากาและชายฝั่งของกรานาดา): ฤดูร้อนมีอากาศอบอุ่น ฤดูหนาวอากาศเย็นสบายไม่หนาวจัด อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีประมาณ 20 องศาเซเลเซียสและมีอากาศชื้น มีลักษณะใกล้เคียงภูมิอากาศแบบกึ่งโซนร้อน
- หุบเขากวาดัลกีบีร์ (เซวิลล์และกอร์โดบา): ฤดูร้อนมีอากาศแห้งและร้อนจัด ส่วนในฤดูหนาวมีอากาศเย็นสบายไม่หนาวจัด
- ชายฝั่งแอตแลนติกตะวันตกเฉียงใต้ (กาดิซและเวลบา): ทั้งฤดูร้อนและฤดูหนาวมีอากาศค่อนข้างสบาย ไม่รุนแรง อากาศชื้น
- ที่ราบสูงภายใน: ฤดูหนาวอากาศหนาว (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระดับความสูงของพื้นที่) ฤดูร้อนอากาศร้อน มีลักษณะใกล้เคียงภูมิอากาศแบบภาคพื้นทวีป และถือว่ามีอากาศแห้ง (ปริมาณฝนเฉลี่ยประจำปี 400-600 มิลลิเมตร)
- หุบเขาเอโบร (ซาราโกซา): ฤดูร้อนมีอากาศร้อนจัด ส่วนฤดูหนาวมีอากาศหนาวเย็น ใกล้เคียงกับภูมิอากาศแบบภาคพื้นทวีปเช่นกัน ถือว่ามีอากาศแห้งตามเกณฑ์ปริมาณน้ำฝน
- ชายฝั่งแอตแลนติกเหนือ หรือ "สเปนเขียว" (กาลิเซีย อัสตูเรียส ชายฝั่งบาสก์คันทรี): อากาศชื้นมาก (ปริมาณฝนเฉลี่ยประจำปี 1,000 มิลลิเมตร และบางจุดมากกว่า 1,200 มิลลิเมตร) ส่วนฤดูร้อนอากาศไม่ร้อนจัดและฤดูหนาวอากาศเย็นสบาย มักจัดอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบภาคพื้นสมุทร
- เทือกเขาพีเรนีส: โดยรวมมีอากาศชื้น ฤดูร้อนมีอากาศเย็น ส่วนในฤดูหนาวมีอากาศหนาวเย็น จุดสูงสุดของเทือกเขามีภูมิอากาศแบบแอลป์
- หมู่เกาะคะเนรี: เป็นเขตภูมิอากาศแบบกึ่งโซนร้อนตามเงื่อนไขของอุณหภูมิ โดยมีอากาศไม่หนาวจัดและค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี (18-24 องศาเซลเซียส; 64-75 องศาฟาเรนไฮต์) โดยในหมู่เกาะทางตะวันออกมีอากาศแบบทะเลทราย ส่วนในหมู่เกาะทางตะวันตกจะมีอากาศชื้น จากการศึกษาของโทมัส วิตมอร์ (Thomas Whitmore) หัวหน้าการวิจัยทางภูมิอากาศวิทยาที่มหาวิทยาลัย Syracuse สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เมืองลัสปัลมัสเดกรันกานาเรีย (Las Palmas de Gran Canaria) มีภูมิอากาศที่ดีที่สุดในโลก
สถานที่ | อุณหภูมิสูงสุดที่บันทึกไว้ | อุณหภูมิต่ำสุดที่บันทึกไว้ | ||
---|---|---|---|---|
เมดิเตอร์เรเนียน | (°ซ) | (°ฟ) | (°ซ) | (°ฟ) |
มูร์เซีย | 47.2°ซ | 117.0°ฟ | −6.0°ซ | 21.2°ฟ |
มาลากา | 44.2°ซ | 111.6°ฟ | −3.8°ซ | 25.1°ฟ |
วาเลนเซีย | 42.5°ซ | 108.5°ฟ | −7.2°ซ | 19°ฟ |
อะลีกันเต | 41.4°ซ | 106.5°ฟ | −4.6°ซ | 23.7°ฟ |
ปัลมาเดมายอร์กา | 40.6°ซ | 105.1°ฟ | - | - |
บาร์เซโลนา | 39.8°ซ | 103.6°ฟ | −10.0°ซ | 14°ฟ |
คีโรนา | 41.7°ซ | 107°ฟ | −13.0°ซ | 8.6°ฟ |
ดินแดนภายใน | (°ซ) | (°ฟ) | (°ซ) | (°ฟ) |
เซวิลล์ | 47.0°ซ | 116.6°ฟ | −5.5°ซ | 22.1°ฟ |
กอร์โดบา | 46.6°ซ | 115.9°ฟ | - | - |
บาดาโคซ | 45.0°ซ | 113°ฟ | - | - |
อัลบาเซเต | 42.6°ซ | 108.7°ฟ | −24.0°ซ | −11.2°ฟ |
ซาราโกซา | 42.6°ซ | 108.7°ฟ | - | - |
มาดริด | 42.2°ซ | 108.0°ฟ | −14.8°ซ | 5.4°ฟ |
บูร์โกส | 41.8°ซ | 107.2°ฟ | −22.0°ซ | −7.6°ฟ |
บายาโดลิด | 40.2°ซ | 104.4°ฟ | - | - |
ซาลามังกา | - | - | −20.0°ซ | −4.0°ฟ |
เตรวยล์ | - | - | −19.0°ซ | −2.2°ฟ |
ชายฝั่งแอตแลนติกเหนือ | (°ซ) | (°ฟ) | (°ซ) | (°ฟ) |
บิลบาโอ | 42.0°ซ | 107.6°ฟ | −8.6°ซ | 16.5°ฟ |
อาโกรูญา | 37.6°ซ | 99.7°ฟ | −4.8°ซ | 23.4°ฟ |
คีคอง | 36.4°ซ | 97.5°ฟ | −4.8°ซ | 23.4°ฟ |
หมู่เกาะคะเนรี | (°ซ) | (°ฟ) | (°ซ) | (°ฟ) |
ลัสปัลมัสเดกรันกานาเรีย | 38.6°ซ | 102°ฟ | 11.4 °ซ | 48.6°ฟ |
[แก้] ข้อพิพาทเรื่องดินแดน
[แก้] ดินแดนที่สเปนอ้างสิทธิ์
สเปนได้เรียกร้องให้มีการคืนยิบรอลตาร์ (Gibraltar) ดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักรที่ตั้งอยู่ใกล้จุดใต้สุดของคาบสมุทร ทางด้านตะวันออกของช่องแคบยิบรอลตาร์ ซึ่งแม้จะมีขนาดเล็กแต่ก็มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ยิบรอลตาร์ถูกยึดครองระหว่างสงครามสืบราชสมบัติสเปน ในปี ค.ศ. 1704 และถูกยกให้อยู่ภายใต้การปกครองของบริเตนอย่างถาวรตามสนธิสัญญาอูเทรชท์ (Treaty of Utrecht) ค.ศ. 1713 ประชากรส่วนใหญ่ของยิบรอลตาร์ประมาณ 30,000 คนยังต้องการให้ยิบรอลตาร์เป็นของบริเตนอยู่ โดยมีการออกเสียงลงประชามติเพื่อยืนยัน สหประชาชาชาติได้เรียกสหราชอาณาจักรและสเปนให้มาทำข้อตกลงเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว ในขณะที่สเปนไม่ยอมรับเขตแดนนี้และมักจะมีการตรวจสอบการผ่านแดนอย่างเข้มงวดเสมอ โดยบ่อยครั้งที่มีการปิดชายแดนเพื่อที่จะกดดันยิบรอลตาร์ ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาสินค้าและแรงงานจากสเปน
นอกจากนั้นแล้ว การกำหนดเขตชายแดนตามสนธิสัญญาอูุเทรชท์ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันระหว่างทั้งสองฝ่าย โดยสเปนยืนยันว่าสหราชอาณาจักรเข้าครอบครองดินแดนรอบเขตสนามบินซึ่งเดิมไม่ได้รวมอยู่ในสนธิสัญญาดังกล่าว
[แก้] ดินแดนของสเปนที่ประเทศอื่นอ้างสิทธิ์
โมร็อกโกได้อ้างสิทธิ์เหนือเมืองเซวตา เมืองเมลียา เกาะเบเลซ เกาะอะลูเซมัส หมู่เกาะชาฟารีนัส และเกาะเปเรคิล ทั้งหมดตั้งอยู่ชายฝั่งทางเหนือของทวีปแอฟริกา โดยโมร็อกโกชี้แจงว่าดินแดนดังกล่าวถูกยึดเอาไปในขณะที่โมร็อกโกไม่สามารถขัดขวางได้และไม่เคยลงนามในสนธิสัญญาใด ๆ เพื่อยกให้ไป (แต่ก็ยังไม่ปรากฏประเทศโมร็อกโกในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 และ 15 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดินแดนเหล่านั้นได้เข้าไปอยู่ในการครอบครองของสเปน) ส่วนสเปนก็อ้างว่าดินแดนดังกล่าวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประเทศ ไม่สามารถแยกได้ ทั้งยังเป็นของสเปนหรือเชื่อมโยงกับสเปนมาตั้งแต่ก่อนการรุกรานของพวกมุสลิมในปี ค.ศ. 711 (สเปนกลับไปปกครองบริเวณเซวตาและเกาะเปเรคิลอีกครั้งในปี ค.ศ. 1415 และได้ปกครองดินแดนส่วนที่เหลือด้วยเช่นกัน ในเวลาไม่กี่ปีหลังจากที่สามารถพิชิตเมืองกรานาดาได้เมื่อปี ค.ศ. 1492) สเปนยังกล่าวอีกด้วยว่าการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนดังกล่าวของโมร็อกโกนั้นเป็นเพียงการอ้างสิทธิ์ตามเขตภูมิศาสตร์เท่านั้น ลักษณะที่คล้ายกันในเรื่องการครอบครองดินแดนข้ามทวีปอย่างเช่นการเป็นเจ้าของคาบสมุทรไซไน (ที่อยู่ในทวีปเอเชีย) ของอียิปต์ หรือการเป็นเจ้าของเมืองอิสตันบูล (อยู่ในทวีปยุโรป) ของตุรกี จึงมักถูกสเปนนำมาใช้สนับสนุนจุดยืนของตนเอง
ส่วนโปรตุเกสก็ไม่ยอมรับอำนาจอธิปไตยของสเปนเหนือเมืองโอลีเบนซา (Olivenza) ในแคว้นเอซเตรมาดูรา โดยกล่าวว่าสนธิสัญญาเวียนนา (Treaty of Vienna) ซึ่งสเปนได้ลงนามไว้เมื่อปี ค.ศ. 1815 นั้น ได้กำหนดให้สเปนคืนดินแดนดังกล่าวให้โปรตุเกสด้วย แต่สเปนก็อ้างว่าสนธิสัญญาเวียนนาได้เปิดช่องให้ข้อกำหนดในสนธิสัญญาบาดาโคซ (Treaty of Badajoz) ที่โปรตุเกสยกเมืองดังกล่าวให้สเปน "ตลอดไป (perpetual)" ในปี ค.ศ. 1801 ยังคงอยู่
[แก้] เศรษฐกิจ
มีอัตราเงินเฟ้อคิดเป็น 2.6 (ค่าประมาณปี พ.ศ. 2546) สินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลไม้สดและแห้ง น้ำมันปิโตรเลียม ยา น้ำมันมะกอก รองเท้า โดยส่งสินค้าออกไปฝรั่งเศสร้อยละ 19 ส่งไปเยอรมนีร้อยละ 12 ส่งไปโปรตุเกสร้อยละ 10 ส่งไปอังกฤษร้อยละ 9 ส่งไปอิตาลีร้อยละ 9 ส่วนไทยส่งมาร้อยละ 0.15
[แก้] การค้ารวม
สเปนเป็นคู่ค้าลำดับ 35 ของไทยเมื่อเทียบกับการค้ากับทั่วโลก ในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา (กรกฎาคม 2545-กรกฎาคม 2547) มีอัตราการเปลี่ยนแปลงทางการค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.73 เมื่อเทียบกับปี 2003 โดยการค้ารวมในปี พ.ศ. 2547 มีมูลค่าเฉลี่ย 523.785 ล้านยูโร (ข้อมูล World Trade Atlas: November 2004)
[แก้] ปัญหาและอุปสรรคด้านการค้า
- สเปนเป็นประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ทำให้ปัญหาการค้าทวิภาคีไทย-สหภาพยุโรป กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการค้าระหว่างไทยและสเปนด้วย
- สเปนตรวจพบสารแคดเมียมในปลาหมึกในน้ำมันและปลาหมึกแช่แข็ง เชื้อ salmonella ในปลาหมึกแช่แข็ง เชื้อแบคทีเรียในปลา Hake เชื้อ vibrio Chelerae ในกุ้งกุลาดำ สาร 3MCPD ในซอสปรุงรส เชื้อ Aerbio Mesofilos ในปลาหมึกแช่แข็ง และเพลี้ยไฟในดอกกล้วยไม้ นำเข้าจากไทย จึงได้ใช้มาตรการกักกันสินค้าที่มีปัญหาเพื่อนำตัวอย่างไปตรวจวิเคราะห์ก่อน (automatic detention) หากตรวจไม่พบเชื้อโรคจะอนุญาตให้นำเข้าได้ การยกเลิกมาตรการดังกล่าวอยู่ในดุลพินิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบในการตรวจสอบ
[แก้] การท่องเที่ยว
หลังจากนายพลฟรังโกถึงแก่อสัญกรรม สเปนก็กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่มีผู้ไปท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกรองจากฝรั่งเศส โดยมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศถึงปีละ 52 ล้านคน สร้างรายได้ให้กับประเทศประมาณ 46 พันล้านยูโร
สถานที่ท่องเที่ยวในสเปน ได้แก่ มาดริด บาร์เซโลนา ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุด สถานที่ที่น่าสนใจอื่น ๆ เช่น บีโกและปอนเตเบดราในแคว้นกาลิเซีย กอร์โดบา เซวิลล์ กรานาดา (สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม) มาลากา เวลบา กาดิซ และอัลเมรีอา (ชายหาด) ในแคว้นอันดาลูเซีย กาเซเรส กวาดาลูเป และเมรีดาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในแคว้นเอซเตรมาดูรา ซาลามังกา โตเลโด และเซโกเบียเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในส่วนอื่น ๆ ของประเทศ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญซึ่งมีชายหาดสวยงามมาก ได้แก่ รีอัสไบคัส (ในจังหวัดปอนเตเบดรา) ซาโลว์ เบนีดอร์ม มายอร์กา อีบีซา (หมู่เกาะแบลิแอริก) หมู่เกาะคะเนรี แคว้นวาเลนเซีย แคว้นคาตาโลเนีย และสเปนเขียว (ทางภาคเหนือ)
สายการบินแห่งชาติของสเปนคือสายการบินไอบีเรีย (Iberia Airlines) รถไฟความเร็วสูง เช่น อาเบเอ (AVE: Alta Velocidad Española) มีความเร็วสูงสุด 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือ ตัลโก (Talgo) และยังมีถนนคุณภาพดีมุ่งสู่เมืองสำคัญในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ
[แก้] ประชากรศาสตร์
[แก้] ประชากร
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2548 ประเทศสเปนมีประชากร 44,108,530 คน ความหนาแน่นของประชากร 87.8 คนต่อตารางกิโลเมตร (220 คนต่อตารางไมล์) ซึ่งน้อยกว่าความหนาแน่นประชากรของประเทศในยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่ และการกระจายตัวในแต่ละภูมิภาคก็ยังไม่เท่ากัน (ยกเว้นในจังหวัดที่อยู่รอบเมืองหลวงมาดริด) โดยบริเวณที่มีประชากรมากที่สุดจะอยู่ตามชายฝั่งทะเล
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 25 ปีหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 อัตราการเกิดของประชากรได้ลดลงอย่างกะทันหัน โดยอัตราเจริญพันธุ์ของสเปนอยู่ที่ 1.28 (จำนวนบุตรที่ผู้หญิงจะมีโดยเฉลี่ยตลอดอายุขัย) ถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์ที่ต่ำที่สุดในโลก ส่วนอัตราการรู้หนังสือในปี พ.ศ. 2546 ชาวสเปนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปสามารถอ่านออกเขียนได้ ซึ่งเป็นร้อยละ 97.9 ของประชากรทั้งหมด
[แก้] เขตตัวเมืองที่มีประชากรมากที่สุด
- มาดริด 5,904,041 คน
- บาร์เซโลนา 5,300,701 คน
- วาเลนเซีย 1,623,724 คน
- เซบิเย 1,317,098 คน
- มาลากา 1,074,074 คน
- บิลบาโอ 946,829 คน
- อัสตูเรียส (คีคอง-โอเบียโด) 855,199 คน
- อะลีกันเต 711,215 คน
- ซาราโกซา 683,763 คน
- ลัสปัลมัสเดกรันกานาเรีย 616,903 คน
- อ่าวกาดิซ (กาดิซ-เคเรซเดลาฟรอนเตรา) 615,494 คน
- มูร์เซีย 563,272 คน
- ปัลมาเดมายอร์กา 474,035 คน
- กรานาดา 472,638 คน
- บีโก 423,821 คน
- ซันตากรูซเดเตเนรีเฟ 420,198 คน
- ซันเซบัสเตียน 399,125 คน
- อาโกรูญา 396,015 คน
- บายาโดลิด 383,894 คน
- ตาร์ราโกนา 375,749 คน
- กอร์โดบา 321,164 คน
- ปัมโปลนา 309,631 คน
[แก้] การย้ายถิ่นเข้า
ผู้ย้ายเข้ามาในสเปนส่วนใหญ่มาจากลาตินอเมริกา (ร้อยละ 38.75) ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ 16.33) มาเกร็บ (ร้อยละ 14.99) และแอฟริกากึ่งสะฮารา (ร้อยละ 4.08) นอกจากนี้ ยังมีผู้มีถิ่นที่อยู่อาศัยในสเปนที่เป็นชาวยุโรปประเทศอื่น ๆ อีกบ้างบริเวณชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนและหมู่เกาะแบลิแอริก โดยมาใช้ชีวิตหลังปลดเกษียณหรือทำงานทางไกล
ข้อมูลจากรัฐบาลสเปน ในปี พ.ศ. 2548 ประเทศสเปนมีผู้มีถิ่นที่อาศัยเป็นชาวต่างชาติ 3.7 ล้านคน ประมาณ 5 แสนคนเป็นชาวโมร็อกโก อีก 5 แสนคนเป็นชาวเอกวาดอร์ กว่า 2 แสนคนเป็นชาวโรมาเนีย และประมาณ 2 แสน 7 หมื่นคนเป็นชาวโคลอมเบีย ชุมชนต่างชาติที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่ ชาวอังกฤษ (ร้อยละ 6.09 ของผู้มีถิ่นที่อยู่อาศัยทั้งหมด) ชาวอาร์เจนตินา (ร้อยละ 6.10) ชาวเยอรมัน (ร้อยละ 3.58) และชาวโบลิเวีย (ร้อยละ 2.63) เฉพาะในปี พ.ศ. 2548 เพียงปีเดียว มีประชากรที่ย้ายถิ่นเข้ามาในประเทศถึง 7 แสนคน
สเปนมีอัตราการเข้าเมืองมากที่สุดของสหภาพยุโรป ซึ่งมีเหตุผลมาจากตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ แนวพรมแดนที่ยังรั่วไหล การขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งความเข้มแข็งของภาคเกษตรกรรมและภาคการก่อสร้างที่ต้องการแรงงานค่าจ้างต่ำเป็นจำนวนมาก
[แก้] เชื้อชาติ
ประชากรสเปนส่วนใหญ่มีลักษณะผสมระหว่างชาติพันธุ์นอร์ดิกและชาติพันธุ์เมดิเตอร์เรเนียน ประกอบด้วยเชื้อชาติต่าง ๆ ได้แก่ ชาวสเปน มีจำนวนมากที่สุดประมาณร้อยละ 74 รองลงมาเป็นชาวคาตาลัน ชาวกาลิเซีย และชาวบาสก์ตามลำดับ
[แก้] ชนกลุ่มน้อย
ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ชนกลุ่มน้อยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศสเปน คือ พวกคีตาโนส (Gitanos) ซึ่งเป็น ชาวยิปซีกลุ่มหนึ่ง
ประเทศสเปนเป็นแหล่งพักพิงของประชากรสายเลือดแอฟริกาจำนวนมาก ซึ่งเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากประชากรในอดีตอาณานิคม (โดยเฉพาะอิเควทอเรียลกินี) แต่ผู้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในสเปนจากหลายประเทศในภูมิภาคแอฟริกากึ่งสะฮาราและแคริบเบียนก็มีจำนวนสูงกว่า และยังมีชาวสเปนเชื้อสายเอเชียจำนวนมากพอสมควร ส่วนใหญ่จะมีสายเลือดชาวจีน ชาวฟิลิปิโน ชาวตะวันออกกลาง ชาวปากีสถาน และชาวอินเดีย ส่วนชาวสเปนสายเลือดลาตินอเมริกาก็มีจำนวนมากเช่นกันและกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ประชากรยิวกลุ่มที่สำคัญถูกขับไล่หรือถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนาในปี ค.ศ. 1492 (พ.ศ. 2035) พร้อมกับการตั้งศาลศาสนาสเปน แต่หลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวยิวบางส่วนก็ได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ในสเปน โดยอพยพเข้ามาจากอดีตอาณานิคมสแปนิชโมร็อกโก หลบหนีการกวาดล้างจากพวกนาซี และอพยพมาจากอาร์เจนตินา ปัจจุบันนี้เมลียามีอัตราส่วนชาวยิว (และชาวมุสลิม) สูงที่สุดในประเทศ และกฎหมายของสเปนยังอนุญาตให้ชาวยิวกลุ่มเซฟาร์ดี (Sephardi Jews) สามารถอ้างสิทธิการเป็นพลเมืองของรัฐได้
[แก้] ภาษา
แม้ว่ารัฐธรรมนูญของสเปนจะยืนยันอำนาจอธิปไตยของชาติก็ตาม แต่ก็ยังรับรองเชื้อชาติอื่น ๆ ที่มีมาในประวัติศาสตร์ด้วย
- ภาษาสเปน/ภาษาคัสตีล (Spanish/Castilian; español/castellano) เป็นภาษาราชการทั่วทั้งประเทศ แต่ในบางท้องถิ่นก็ยังใช้ภาษาถิ่นอื่น ๆ ซึ่งภาษาแรกที่ใช้พูดอีกด้วย รัฐธรรมนูญสเปนให้การรับรองภาษาท้องถิ่น (ที่อาจจะมี) ให้เป็นภาษาราชการร่วมตามแต่ละภูมิภาค โดยไม่ได้บอกชื่อภาษาไว้ ภาษาต่อไปนี้เป็นภาษาราชการร่วมกับภาษาสเปน (คัสตีล)
- ภาษาคาตาลัน (Catalan; català) พูดในแคว้นคาตาโลเนีย หมู่เกาะแบลิแอริก และบางส่วนของแคว้นวาเลนเซีย (เรียกว่าภาษาวาเลนเซีย)
- ภาษากาลิเซีย (Galician; galego) พูดในแคว้นกาลิเซีย
- ภาษาบาสก์ (Basque; euskara) พูดในแคว้นบาสก์และบางส่วนของแคว้นนาวาร์ ภาษานี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับภาษาอื่น ๆ เลย
- ภาษาอ็อกซิตัน (Occitan) (ภาษาถิ่นอารัน) พูดกันในบัลดารัน แคว้นคาตาโลเนีย
ทั้งภาษาคาตาลัน ภาษากาลิเซีย ภาษาอารัน (อ็อกซิตัน) และภาษาคัสตีลต่างสืบทอดมาจากภาษาละติน บางภาษาก็มีภาษาถิ่นของตนเอง ซึ่งภาษาถิ่นบางภาษาก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้พูดภาษาถิ่นนั้นให้เป็นอีกภาษาหนึ่งต่างหากด้วย กรณีพิเศษได้แก่ ภาษาวาเลนเซีย (Valencian) เป็นชื่อที่เรียกภาษาถิ่นภาษาหนึ่งของภาษาคาตาลัน ซึ่งได้รับการรับรองให้เป็นภาษาราชการร่วมในแคว้นปกครองตนเองวาเลนเซีย
นอกจากนี้ ยังมีภาษาของชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในกลุ่มภาษาโรมานซ์ คือ ภาษาอัสตูเรียส / เลออง (Asturian / Leonese) พูดกันในแคว้นอัสตูเรียสและบางส่วนของจังหวัดเลออง เมืองซาโมรา และเมืองซาลามังกา ภาษาเอซเตรมาดูรา (Extremaduran) ใช้กันในจังหวัดกาเซเรสและจังหวัดซาลามังกา (ทั้งสองภาษาดังกล่าวสืบทอดมาจากภาษาถิ่นในอดีตของภาษาอัสตูร์-เลออง) ภาษาอารากอน (Aragonese) มีผู้พูดกันในพื้นที่บางส่วนของแคว้นอารากอน; ภาษาฟาลา (Fala) ยังมีผู้พูดอยู่บ้างในหมู่บ้านสามแห่งของแคว้นเอซเตรมาดูรา และภาษาโปรตุเกส (ภาษาถิ่น) ที่ใช้กันในบางเมืองของแคว้นเอซเตรมาดูราและแคว้นคัสตีล-เลออง อย่างไรก็ตาม ภาษาเหล่านี้ก็ไม่ได้มีสถานะเป็นภาษาทางราชการอย่างที่ภาษาคาตาลัน ภาษากาลิเซีย และภาษาบาสก์มี
ในย่านท่องเที่ยวตามชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนและหมู่เกาะ นักท่องเที่ยว ผู้อยู่อาศัยชาวต่างชาติ และผู้ทำงานท่องเที่ยวจะพูดภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมัน ผู้ย้ายถิ่นชาวแอฟริกาและผู้สืบเชื้อสายชนกลุ่มน้อยเหล่านั้นจะพูดภาษายุโรปที่เป็นทางการของบ้านเกิดพวกเขา (ไม่ว่าจะเป็นภาษาโปรตุเกส ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส หรือครีโอลท้องถิ่น)
[แก้] ศาสนา
ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมีผู้นับถือมากที่สุดในประเทศ จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ (เช่น เวิลด์แฟกต์บุ๊ก 2005 ของซีไอเอ ผลการสำรวจอย่างเป็นทางการของสเปน และแหล่งอื่น ๆ) ชาวสเปนร้อยละ 81-94 นับถือศาสนาคริสต์นิกายดังกล่าว ในขณะที่ประมาณร้อยละ 6-19 นับถือศาสนาอื่นหรือไม่นับถือศาสนาใดเลย อย่างไรก็ตาม ชาวสเปนจำนวนมากที่ระบุว่าตนเองเป็นชาวคาทอลิกเนื่องจากได้เข้าพิธีศีลล้างบาปเท่านั้น ไม่ได้เคร่งศาสนาเท่าใดนัก
[แก้] วัฒนธรรม
วัฒนธรรมสเปนมีรากฐานมาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่ อิทธิพลของชาวไอบีเรียนเดิมและชาวละตินในคาบสมุทรไอบีเรีย ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ศาสนาอิสลามของชาวมัวร์ ความตึงเครียดในระหว่างการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางของแคว้นคัสตีล และชนกลุ่มน้อย นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์ของชาติ รวมทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนยังมีบทบาทสำคัญในการก่อร่างวัฒนธรรมสเปนด้วย
[แก้] สื่อที่สำคัญ
[แก้] ช่องสัญญาณโทรทัศน์แห่งชาติ (แอนะล็อก)
|
|
[แก้] ช่องสัญญาณโทรทัศน์ระดับภูมิภาค
|
|
[แก้] สถานีวิทยุ
|
|
[แก้] หนังสือพิมพ์
|
|
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้] โดยสังเขป
- ข้อมูลประเทศสเปนจากเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ ประเทศไทย
- ข้อมูลประเทศสเปนจากเว็บไซต์ CIA สหรัฐอเมริกา
- ข้อมูลประเทศสเปนจากเว็บไซต์สารานุกรมบริทานิกา
- ข้อมูลประเทศสเปนโดยสังเขปจากเว็บไซต์ The Economist
- ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับประเทศสเปน
- แผนที่ประเทศสเปน: ภาพถ่ายดาวเทียม แผนที่แคว้น จังหวัด และเทศบาลต่าง ๆ
- แนะนำประวัติศาสตร์ธรรมชาติ สัตว์ป่า ภูมิอากาศ ภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และภูมิภาพของประเทศสเปน
- แผนที่ประเทศสเปน คำนวณระยะทางและทิศการเดินทางด้วย Google Map
- นำเที่ยวเมืองในประเทศสเปน
[แก้] รัฐบาล
- เว็บไซต์ทางการของราชวงศ์สเปน
- เว็บไซต์ทางการของนายกรัฐมนตรีสเปน
- รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-government) (ภาษาสเปน)
- เว็บไซต์ทางการสภาผู้แทนราษฎรสเปน
- เว็บไซต์ทางการวุฒิสภาสเปน
- เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ ประเทศสเปน
- เว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตสเปนประจำประเทศไทย
- เว็บไซต์สถาบันสถิติแห่งชาติ ประเทศสเปน (ภาษาสเปน)
[แก้] การท่องเที่ยว
- เว็บไซต์ทางการการท่องเที่ยวสเปน
- รูปภาพ ข่าว บทวิจารณ์ และเหตุการณ์ในสเปน
- ที่พักวันหยุดพักร้อนทั่วทุกภูมิภาคในสเปน
- รูปภาพต่าง ๆ ในสเปน
[แก้] อื่น ๆ
ประเทศ ใน ทวีปยุโรป | |
กรีซ · โครเอเชีย · จอร์เจีย1 · สาธารณรัฐเช็ก · ซานมารีโน · เซอร์เบีย · ไซปรัส1 · เดนมาร์ก · ตุรกี2 · นอร์เวย์ · เนเธอร์แลนด์ · 1. ทางภูมิศาสตร์อยู่ในทวีปเอเชีย แต่มักถูกจัดอยู่ในทวีปยุโรป เนื่องจากมีวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกัน; 2. มีพื้นที่ทั้งในทวีปยุโรปและในทวีปเอเชีย |
|
|
---|---|
กรีซ · สาธารณรัฐเช็ก · ไซปรัส · เดนมาร์ก · เนเธอร์แลนด์ · เบลเยียม · โปแลนด์ · โปรตุเกส · |
ประเทศสเปน เป็นบทความเกี่ยวกับ ประเทศ เมือง หรือเขตการปกครองต่าง ๆ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น |