เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา (ภาษาฝรั่งเศส: Génocide au Rwanda) คือเหตุการณ์ที่ชนพื้นเมืองชาวตุดซี (Tutsi) และชนพื้นเมืองชาวฮูตู (Hutu) ถูกสังหารหมู่ไปประมาณ 800,000-1,071,000 คนในประเทศรวันดา โดยกลุ่มผู้กระทำการสังหารหมู่คือกลุ่มทหารบ้านหัวรุนแรงชาวฮูตู ได้แก่กลุ่มอินเตราฮัมเว (Interahamwe เป็นภาษากินยาร์วันดาแปลว่า "ผู้ที่สู้ด้วยกัน") และกลุ่มอิมปูซูมูกัมบิ (Impuzamugambi แปลว่า "ผู้ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน") โดยจะมี 2 กลุ่มนี้เป็นผู้กระทำการสังหารหมู่เสียเป็นส่วนใหญ่ ในช่วงเวลา 100 วันตั้งแต่วันที่ 6 เมษายนไปจนถึงกลางเดือนกรกฎาคมในปี พ.ศ. 2537 (1994)
เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดาถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ไม่เพียงเพราะจำนวนคนที่ถูกสังหารเป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับเวลาอันสั้น แต่ยังเป็นเพราะว่าเหตุการณ์นี้ได้แสดงถึงความไม่มีประสิทธิภาพขององค์การสหประชาชาติ (โดยเฉพาะสมาชิกสำคัญแห่งโลกตะวันตกคือสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส) ในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ แม้จะมีข่าวคราวมาก่อนว่าจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริงก็ตาม รวมไปถึงการนำเสนอข่าวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปทั่วโลกเมื่อเหตุการณ์ได้เกิดขึ้น ที่แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงและความโหดร้ายทารุณของการสังหารหมู่ กระนั้น ประเทศโลกที่หนึ่งส่วนใหญ่รวมไปถึงประเทศฝรั่งเศส, เบลเยียมและสหรัฐอเมริกากลับมีท่าทีนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์สังหารหมู่ โดยปฏิเสธที่จะออกมากระทำการแทรกแซง หรือแสดงความคิดเห็นใดๆ ต่อกลุ่มผู้กระทำการสังหารหมู่ ส่วนประเทศแคนาดายังคงทำหน้าที่เป็นกองกำลังรักษาความสงบในรวันดาจนถึงทุกวันนี้
ก่อนหน้าที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น สหประชาชาติได้เริ่มต้นภารกิจในการช่วยเหลือประเทศรวันดา (หรือ UNAMIR - United Nations Assistance Mission for Rwanda) ในเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2536 (1993) เพื่อช่วยลดความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลรวันดา (ที่ประกอบไปด้วยชาวฮูตูเป็นส่วนใหญ่) กับกลุ่มกบฎชาวตุดซี หลังจากที่พันธไมตรีหรือข้อตกลงสันติภาพอะรูชา (Arusha Accords หรือ Arusha Peace Agreement) ได้ถูกลงนามในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2536 ต่อมาสหประชาชาติจึงได้ประกาศให้ภารกิจสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2539 (1996) โดยก่อนหน้าที่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จะเกิดขึ้น รวมไปถึงช่วงระหว่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สหประชาชาติไม่อนุญาติให้ UNAMIR เข้าทำการแทรกแซงหรือใช้กำลังในระยะเวลาที่เร็วหรือมีประสิทธิภาพพอที่จะยับยั้งการสังหารหมู่ในรวันดา แม้ว่า UNAMIR จะปรับขอบเขตอำนาจและกำลังพลของตนเอง เมื่อเกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้เกิดขึ้น รวมถึงเมื่อสถานการณ์ในประเทศได้เปลี่ยนไปก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น กระนั้นนโยบายของสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก็ยังคงมีข้อจำกัดทางกระบวนการและขั้นตอนหลายอย่าง ซึ่งเป็นเหตุให้สหประชาชาติประสบกับความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ให้เกิดขึ้น โดยผู้นำภารกิจของสหประชาชาติภารกิจนี้ก็คือพลโทโรมิโอ ดาลแลร์ (Roméo Dallaire) นายทหารชาวแคนาดา
หลายสัปดาห์ก่อนที่เหตุการณ์จะเริ่มขึ้น สหประชาชาติไม่ได้ตอบสนองต่อรายงานเกี่ยวกับการสะสมอาวุธของทหารบ้านชาวฮูตู อีกทั้งยังปฏิเสธข้อเสนอให้ออกคำสั่งห้ามดักล่วงหน้า แม้ว่า พ.ท. ดาลแลร์จะทำการเตือนสหประชาชาติหลายต่อหลายครั้ง ทั้งในช่วงเวลาก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นมาจนถึงตอนที่เหตุการณ์กำลังดำเนินอยู่ แต่ทางสหประชาชาติก็ยังคงยืนกรานให้ยึดตามกฎการปะทะแบบเดิม ซึ่งทำให้กองกำลังรักษาความสงบของสหประชาชาติไม่สามารถที่จะทำการขัดขวางทหารบ้านฮูตูไม่ว่าในทางใดๆ แม้กระทั่งปลดอาวุธ ยกเว้นเป็นเหตุให้ทหารสหประชาชาติต้องป้องกันตัวเอง ความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของสหประชาชาติที่ไม่สามารถทำการขัดขวางและยับยั้งการฆ่าได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพพอได้นำไปสู่การถกประเด็นว่าใครเป็นฝ่ายผิดกันแน่ในเวทีสากล ได้แก่ประเทศฝรั่งเศส (ในฐานะที่มีสัมพันธ์กับรวันดาผ่านทางองค์กรชุมชนผู้พูดภาษาฝรั่งเศสสากลหรือลาฟรังโคโฟนี - La Francophonie), ประเทศเบลเยียม (ในฐานะประเทศอดีตจ้าวอาณานิคมของรวันดา) และประเทศสหรัฐอเมริกา (ในฐานะตำรวจโลก) ซึ่งรวมไปถึงระดับบุคคลที่ทำการร่างนโยบายขึ้นมาได้แก่ชาค-โรเจอร์ส บูห์-บูห์ (Jacques-Roger Booh-Booh) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศแห่งประเทศแคเมอรูนและหนึ่งในผู้นำภารกิจ UNAMIR และประธานาธิบดีสหรัฐฯ บิล คลินตัน ที่กล่าวถึงการเพิกเฉยของสหรัฐฯ ว่า "เป็นสิ่งที่น่าสลดที่สุดภายใต้การบริหารของผม"
เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้จบลงในที่สุดเมื่อกลุ่มกบฎชาวเผ่าตุดซีชื่อว่าแนวร่วมผู้รักชาติชาวรวันดา (Rwandan Patriotic Front - RPF) ภายใต้การนำของผู้ก่อตั้ง พอล คากาเม ได้ทำการล้มล้างรัฐบาลชาวฮูตูและเข้ายึดอำนาจ หลังจากนั้นในเวลาต่อมาก็มีผู้อพยพ และทหารบ้านฮูตูผู้พ่ายแพ้เป็นแสนๆ คนก็ได้หลบหนีเข้าไปในประเทศไซเรีย (Zaire ซึ่งก็คือสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกในปัจจุบัน) ในภูมิภาคตะวันออกเนื่องจากกลัวการถูกล้างแค้นโดยชาวตุดซี หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความเกลียดชังและความรุนแรงระหว่างสองชนเผ่านี้ก็ลุกลามไปยังประเทศในภูมิภาค โดยเป็นเหตุให้เกิดสงครามคองโกถึงสองครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องกันตั้งแต่ พ.ศ. 2539 มาจนถึง พ.ศ. 2546 (1996-2003) ความชิงชังและโกรธแค้นระหว่างสองชนเผ่ายังมีส่วนสำคัญในการเติมเชื้อปะทุความรุนแรงที่พัฒนามาเป็นสงครามกลางเมืองในประเทศบุรุนดีตั้งแต่ พ.ศ. 2536 (1993) มาจนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 (2005) อีกด้วย
เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา เป็นบทความเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น |