สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (พ.ศ. 2277 - พ.ศ. 2325 ครองราชย์ พ.ศ. 2311 - พ.ศ. 2325)เป็นหนึ่งในพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งสยามประเทศ ผู้ทรงกอบกู้อิสรภาพให้ชาวสยาม และทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี
สารบัญ |
[แก้] พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
มีหนังสือพงศาวดารได้กล่าวไว้ว่า ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีชาวจีนแต้จิ๋วคนหนึ่งนามว่า ไหฮอง (鄭昭) ได้เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย มีบรรดาศักดิ์เป็น ขุนพัฒ ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้บ้านของเจ้าพระยาจักรี สมุหนายก ครั้นเวลาล่วงมาถึง ๕ ปีขาล พ.ศ. ๒๒๗๗ ขุนพัฒมีบุตรชายคนหนึ่ง เกิดแต่ นางนกเอี้ยง ทารกคนนี้คลอดได้ ๓ วัน มีงูเหลือมใหญ่เลื้อยเข้าไปขดรอบตัวทารก เป็นทักขิณาวัฏ ขุนพัฒ ผู้เป็นบิดาเกรงว่าเรื่องนี้อาจลางร้ายแก่สกุล จึงยกบุตรคนนี้ให้แก่เจ้าพระยาจักรี แล้วเจ้าพระยาจักรีได้เลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม และตั้งแต่เจ้าพระยาจักรีได้เด็กน้อยคนนี้มา ลาภผลก็เกิดมากมูลพูนเพิ่มมั่งคั่งขึ้นแต่ก่อน เจ้าพระยาจักรีจึงกำหนดเอาเหตุนี้ขนานนามว่าให้ว่า สิน ส่วนจดหมายเหตุโหรได้บันทึกไว้ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีขาล จุลศักราช ๑๐๙๖ เวลาประมาณ ๕ โมงเช้า ซึ่งตรงกับ วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๒๗๗
ครั้นเมื่อเด็กชายสิน อายุได้ ๙ ขวบ เจ้าพระยาจักรีนำเข้าฝากให้เล่าเรียนหนังสืออยู่ในสำนักของ พระอาจารย์ ทองดี วัดโกษาวาส ได้นำเข้าถวายตัวรับราชการเป็นมหาดเล็กอยูในรัชสมัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อนายสินอายุได้ ๑๓ ปี และในระหว่างนี้ นายสินได้พยายามศึกษาหาความรู้ในภาษาต่างประเทศ มี ภาษาจีน ภาษาญวน และ ภาษาแขก จนสามารถพูดคล่องได้ทั้ง ๓ ภาษา
ต่อมาเมื่อมีอายุได้ ๒๐ ปี บริบูรณ์ เจ้าพระยาจักรีได้จัดการอุปสมบทเป็นพระภิกษุให้ พระภิกษุสินได้ดำรงอยู่ในสมณเพศถึง ๓ พรรษา ที่วัดโกษาวาส แล้วจึงลาสิกขาบทออกมารับราชการใหม่ ในตำแหน่งมหาดเล็กรายงาน ครั้งนึงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งเป็น หลวงยกกระบัตร ไปรับราชการอยู่ที่เมืองตาก เมื่อเจ้าเมืองตากถึงแก่อนิจกรรม ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้หลวงยกกระบัตรเป็น พระยาตาก
ต่อมาเมื่อมีข้าศึกพม่ามาล้อมกรุงศรีอยุธยา พระยาตากก็ได้ถูกเรียกตัวให้ลงมาช่วยงานราชการในกรุงศรีอยุธยา พระยาตากทำการสู้รบกับข้าศึกด้วยความเข้มแข็งสามารถยิ่ง มีบำเหน็จความชอบในสงคราม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งเป็น พระยาวชิรปราการ ผู้สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชร แต่ยังมิได้ขึ้นไปปกครองเมืองกำแพงเพชร เพราะติดราชการสงครามกับพม่าอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๐๙ เสียก่อน
ดูเพิ่ม ที่ กรุงธนบุรี
[แก้] พระราชนิพนธ์
เรื่องที่พระองค์ได้นิพนธ์ไว้นั้นก็คือ บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ว้นที่ทรงพระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ฉบับนี้คือ วันอาทิตย์ เดิน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีขาล จุลศักราช ๑๑๓๒ ตรงกับปี พ.ศ. ๒๓๑๓ เป็นปีที่ ๓ แห่งรัชกาลของพระองค์
บทละครเรื่องรามเกียรติ์นั้น มี ๔ ตอน แบ่งออกเป็น ๔ เล่ม สมุดไทย เนื้อเรื่อง และ โวหารที่ใช้นั้น หนักไปทางธรรม และ อิทธิปาฏิหาริย์ อันให้เห็นพระนิสัยของพระองค์ ที่ทรงฝักใฝ่ในธรรม
[แก้] ปลายรัชสมัย
ในตอนปลายรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้เกิดกบฎขึ้นที่กรุงศรีอยุธยา พวกกบฎได้ปล้นจงนพระยาอินทรอภัย ผู้รักษากรุงเก่าจนต้องหลบหนีมายังกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมีรับสั่งให้พระยาสรรค์ขึ้นไปสืบสวนเอาตัวคนผิดมาลงโทษ แต่พระนาสรรค์กลับไปเข้ากับพวกกบฎ และยกพวกมาปล้นพระราชวังที่กรุงธนบุรีในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๓๒๔ บังคับให้สมเด็จพระเจ้าตากสินออกผนวช และคุมพระองค์ไว้ที่พระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม แล้ว พระยาสรรค์ได้ตั้งตนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) และ เจ้าพระยาพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ซึ่งไปราชการทัพเมืองกัมพูชา และยกกำลังเข้าตีเมืองเสียมราฐ เมื่อทราบข่าวการจลาจลในกรุงธนบุรี จึงรีบยกทัพกลับ ขณะนั้นเป็นเดือน เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกมาถึงในวันที่ ๖ เมษายน ๒๓๒๕ ก็ได้สืบสวนเรื่องราวความวุ่นวายที่เกิดขึ้น และจับกุมผู้ก่อการกบฎมาลงโทษ รวมทั้งให้ข้าราชการปรึกษาพิจารณาความที่มีผู้ฟ้องร้อง กล่าวโทษว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเป็นต้นเหตุ เนื่องจากพระองค์ทรงเสียพระสติ เพื่อมิให้เกิดปัญหายุ่งยากอีก สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงถูกสำเร็จโทษ และเสด็จสวรรคต ในพ.ศ. ๒๓๒๕ พระชนมายุได้ ๔๘ พรรษา พระองค์ประสูติ และสวรรคต ในเดือนเดียวกัน และบางฉบับก็บอกว่าในวันเดียวกัน ซึ่งยังไม่มีใครทราบเป็นที่แน่ชัด
บางตำนานก็ได้กล่าวไว้ว่า พระเจ้าตากสินทรงปรึกษากับพระยามหากษัตริย์ศึก(นายทองด้วง)ว่า พระองค์ทรงเบื่อที่จะปกครองบ้านเมืองจึงทำอุบายโดยให้นายทองด้วงไปตีเมืองเสียมราฐ ขณะนั้นมีกบฎพระยาสรรค์ขึ้นพอดี พระยาสรรค์บังคับให้พระเจ้าตากไปออกผนวช พระเจ้าตากจึงแกล้งเสียสติ โดยทำว่าตัวเองบรรลุโสดาบันแล้ว ให้พระทุกรูป ไม่ว่าเพิ่งบวชไม่กี่พรรษาหรือบวชเป็นสิบๆพรรษาก็ต้องไหว้เคารพ พระที่พรรษมากกว่าก็ไม่ยอมไหว้ พระเจ้าตากจึงแกล้งโกรธสั่งเอาพระไปโบย แต่ความจริง ให้เอานักโทษต้องประหารมาคลุมผ้าเหลืองแล้วโบย ประชาชนก็นึกว่าโบยจริง ไม่พอใจ พระยาสรรค์ได้ที จึงนำพระเจ้าตากไปจองจำไว้ พระยามหากษัตริย์ศึกก็กลับมา เพราะเรื่องชักจะไปกันใหญ่ มีการตัดสินให้สำเร็จโทษพระเจ้าตากสิน พระยามหากษัตริย์ศึกไม่รู้จะทำอย่างไรจึงไปขอความช่วยเหลือกับญาติพี่น้องของพระเจ้าตากสิน พอดีว่ามีญาติของพระเจ้าตากสินชื่อ "คุณมั่น" หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับพระเจ้าตาก แล้วก็ศรัทธาพระเจ้าตากมากๆด้วย จึงบอกพระยามหากษัตริย์ศึกนำตนกับพระเจ้าตากสลับตัวกันซะ ก็เป็นไปตามแผน พระยามหากษัตริย์ศึก พาพระเจ้าตากไปส่งที่ท่าเรือ พร้องกับคนสนิท 2 คนและคุณประยงค์ น้องสาวของพระเจ้าตากสิน แล้วให้เรือไปส่งที่เขาขุนพนม วันต่อมา คุณมั่นก็ถูกประหารแทน และพระเจ้าก็ไปบวชอยู่ที่เขาขุนพนม จนอายุได้ 52 พรรษา ก็ทรงถอดดวงจิตทิ้งพระร่างไปสู่สวรรค์ [ต้องการแหล่งอ้างอิง]
[แก้] พระปรมาภิไธย
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระนามเรียกที่แตกต่างกัน ดังนี้
- พระราชพงศาวดาร ฉบับราชหัตถเลขา เรียกว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ ๔
- พระราชพงศาวดาร กรุงศรีสัตนาคนหุต เรียกว่า สมเด็จพระเอกาทศรถ
- พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม) เรียกว่า พระบรมหน่อพุทธางกูรเจ้า
- พระนามที่เรียกกันตามหนังสือประวัติศาสตร์ทั่วไป เรียกว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
- เมื่อพระองค์ทรงขึ้นครองราช ทรงใช้พระนามว่า สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์
- ตอนปลายรัชกาล พระรัตนมุนี ได้ถวายพระนามใหม่ว่า สมเด็จพระสยามยอดโยคาวจร
- สามัญที่สุดคือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
- หมายกำหนดราชการออกพระนามว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
[แก้] เหตุการณ์สำคัญ
- พ.ศ. ๒๒๗๗ ทรงพระราชสมภพในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ บิดาชื่อ ไหออง มารดาชื่อ นกเอี้ยง มีกำเนิดเป็นสามัญชน เชื้อสายจีนแต้จิ๋ว เจ้าพระยาจักรีขอไปเลี้ยงเมื่อมีพระชนมายุได้ ๔ วัน
- พ.ศ. ๒๒๙๐ ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา
- พ.ศ. ๒๒๙๘ ผนวชเมื่อมีพระชนมายุได้ ๒๐ ณ สำนักอาจารย์ ทองดี วัดโกษาวาส เมื่อทรงลาสิกขาแล้ว ได้รับราชการในตำแหน่งมหาดเล็กรายงานในกรมมหาดไทย
- พ.ศ. ๒๓๐๑ พ.ศ. 2301 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพรเสด็จเสวยราชสมบัติได้ 3 เดือนเศษ ก็ถวายสิริราชสมบัติแก่สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้นายสินมหาดเล็กรายงานเป็นข้าหลวงเชิญท้องตราพระราชสีห์ขึ้นไปชำระความหัวเมืองฝ่ายเหนือ ซึ่งนายสินได้ปฏิบัติราชการด้วยความวิริยะอุตสาหะและมีความดีความชอบมาก จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตาก ช่วยราชการอยู่กับพระยาตาก ครั้นเมื่อพระยาตากถึงแก่กรรมลงก็ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนหลวงยกกระบัตร (สิน) เป็นพระยาตาก ปกครองเมืองตากแทน
- พ.ศ. ๒๓๐๘ พระยาตาก ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เข้ามาช่วยราชการสงครามเพื่อป้องกันพม่าในกรุงศรีอยุธยา พระยาตาก (สิน) มีฝีมือการรบป้องกันพระนครอย่างเข้มแข็งมีความดีความชอบมาก จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น พระยาวชิรปราการ (สิน) สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชรแทนเจ้าเมืองเดิมที่ถึงแก่กรรม
- พ.ศ. ๒๓๐๙ เข้ามาช่วยป้องกันพระนคร เห็นความอ่อนแอของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ จึงได้ฝ่าวงล้อมของพม่าออกจากกรุงศรีอยุธยา ไปซ่องสุมผู้คน และตระเตรียมกำลังทัพที่ เมืองจันทบุรี โดยตั้งตนเป็นเจ้าเพื่อให้มหาชนเลื่อมใส คนทั่วไปเรียกว่า เจ้าตาก
- พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราชคืนมาได้ในปีเดียวกันนี้เอง ทรงพิจารณาเห็นว่า กรุงศรีอยุธยาเสียหายมาก ยากแก่การบูรณะ จึงทรงสถาปนาเมืองธนบุรีให้เป็น กรุงธนบุรี ราชธานีใหม่
- พ.ศ. ๒๓๑๑ เริ่มปราบชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก แต่ไม่สำเร็จ ปราบชุมนุมเจ้าพิมายสำเร็จเป็นชุมนุมแรก
- พ.ศ. ๒๓๑๒ ปราบชุมนุมนครศรีธรรมราช ยกไปตีกัมพูชาเป็นครั้งแรก แต่ไม่สำเร็จ
- พ.ศ. ๒๓๑๓ รวบรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง ปราบชุมนุมพระเจ้าฝาง ทรงพระราชนิพนธ์บทละครรามเกียรติ์ รบชนะพม่าที่เมืองสวรรคโลก ตีเมืองเชียงใหม่ และ ล้านนา เป็นครั้งที่ ๑ จัดการปกครอง และ ศาสนาในหัวเมืองฝ่ายเหนือ
- พ.ศ. ๒๓๑๔ ยกไปตีกัมพูชาครั้งที่ ๒ และ สามารถปราบกัมพูชาไว้ในอำนาจ
- พ.ศ. ๒๓๑๕ พม่ายกทัพมาตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๑ แต่ไม่สำเร็จ
- พ.ศ. ๒๓๑๖ พม่ายกทัพมาตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๒ แต่ไม่สำเร็จอีก ทำให้เกิดวีรกรรมพระยาพิชัยดาบหัก
- พ.ศ. ๒๓๑๘ พม่ายกทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ แต่ไม่สำเร็จ ถูกจับเป็นเชลยหลายหมื่นคน
- พ.ศ. ๒๓๒๑ ทรงพระกรุณาให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับเจ้าพระยาสุรสีห์ ไปตีเวียงจันทน์และหลวงพระบาง หัวเมืองลาวทั้งหมดกลับมาเป็นชองไทย
- พ.ศ. ๒๓๒๒ กองทัพไทยกลับจากเวียงจันทน์ พร้อมกับอัญเชิญพระแก้วมรกตกับพระบาง มาไว้ที่กรุงธนบุรี ในปีนี้หลวงวิชิต (หน) ;ได้แต่งอิเหนาคำฉันท์
- พ.ศ. ๒๓๒๓ เกิดจลาจลในกัมพูชา เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เจ้าพระยาสุรสีห์ และเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ (เจ้าฟ้r าจุ้ย) ยกทัพไปตีกัมพูชา แต่ยังไม่ทันสำเร็จ ก็เกิดจราจล ที่กรุงธนบุรี
- พ.ศ. ๒๓๒๔ แต่งทูตไปจีน และเกิดกบฏพระยาสรรค์
- พ.ศ. ๒๓๒๕ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ข่าวจลาจลและกบฏในพระนคร จึงยกทัพกลับจากการตีกัมพูชา สมเด็จเจ้าพระยาฯจึงไต่สวนเรื่องที่เกิดขึ้น และปรากฏว่าความผิดนั้นเกิดจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ก่อไว้ จึงได้ไต่สวนโทษ และสำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ ที่วัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร บรรดาข้าราชการ และ ประชาชนออกต้อนรับและอัญเชิญขึ้นครองราชย์สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ในวันนั้น
[แก้] ดูเพิ่ม
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
รัชสมัยก่อนหน้า: สมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ กรุงศรีอยุธยา |
พระมหากษัตริย์ไทย กรุงธนบุรี พ.ศ. 2310 – 2325 |
รัชสมัยถัดไป: พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช |