ซามูไร
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ซามูไร (「侍」 Samurai — ออกเสียงแบบญี่ปุ่นว่า ซะหมุไร ?) คือทหารประเภทหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีในยุคก่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น คำว่า ซามูไร มีต้นกำเนิดจากคำว่า ซาบูเรา ซึ่งเป็นคำกริยาในภาษาญี่ปุ่นที่มีความหมายว่า รับใช้ ฉะนั้นซามูไรก็คือผู้รับใช้แก่เจ้านายข้าแผ่นดินนั่นเอง
สารบัญ |
[แก้] ประวัติ
[แก้] จุดกำเนิด
เป็นที่เชื่อกันว่า รูปแบบของเหล่านักรบบนหลังม้า มือธนู และทหารเดินเท้าในช่วงศตวรรษที่ 6น่าจะเป็นตัวบทต้นแบบของซามูไรดั้งเดิม ขณะที่จุดกำเนิดของซามูไรสมัยใหม่ยังเป็นปัญหาที่โต้เถียงกันอยู่
หลังจากการสู้รบในสงครามนองเลือดกับฝ่ายราชวงศ์ถังของจีน และชิลละของเกาหลี ญี่ปุ่นก็เข้าสู่ยุคแห่งการปฏิรูปไปทั่วทุกหัวระแหง โดยการปฏิรูปครั้งสำคัญที่สุดคือการปฏิรูปไทกะ ซึ่งกระทำโดยจักรพรรดิโคโตกุเมื่อ 646 ปีหลังคริสตกาล การปฏิรูปในครั้งนั้น ได้เริ่มนำเอาวัฒนธรรมการปฏิบัติและเทคนิคการบริหารต่าง ๆ ของจีนมาใช้กับกลุ่มชนชั้นสูงและระบบราชการของญี่ปุ่น
เมื่อ 702 ปีหลังคริสตกาล ประมวลกฎหมายโยโรและประมวลกฎหมายไทโฮก็ถือกำเนิดขึ้น พร้อมกับคำสั่งที่ให้ประชาชนมารายงานตัวเป็นประจำกับทางการเพื่อเก็บข้อมูลมาสร้างสำมะโนประชากร ที่ต่อมาจะถูกนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดสำหรับการเกณฑ์ทหาร หลังจากนั้น เมื่อการทำสำมะโนประชากรเสร็จสิ้นลงจนทำให้รู้ว่าประชากรในญี่ปุ่นมีการกระจายตัวกันอย่างไร จักรพรรดิมมมุก็ได้ริเริ่มกฎหมายให้ประชากรเพศชายที่เป็นผู้ใหญ่ 1 ใน 3 ถึง 4 คนต้องถูกเกณฑ์เป็นทหารเพื่อรับใช้ชาติ โดยผู้ที่จะเข้ามาเป็นทหารเหล่านี้จะถูกขอความร่วมมือให้ส่งมอบอาวุธของตนแก่ทางการ แต่พวกเขาจะได้รับการยกเว้นในการเสียภาษีและการรับหน้าที่ต่าง ๆ เป็นสิ่งตอบแทน
ในช่วงต้นของยุคเฮอัง ประมาณปลายศตวรรษที่ 8 และต้นศตวรรษที่ 9 จักรพรรดิคัมมุ (「桓武天皇」 Kanmu Tennō?) ได้หาทางทำให้อำนาจของตนทรงพลังและแผ่ขยายไปทั่วตอนเหนือของเกาะฮนชู (แผ่นดินใหญ่ของญี่ปุ่น) แต่กระนั้นเอง ความหวังดังกล่าวก็เริ่มเกิดปัญหา เมื่อกำลังทหารที่จักรพรรดิส่งไปเพื่อปราบกบฏเอมิชิกลับไร้ซึ่งแรงจูงใจและระเบียบวินัยจนต้องแพ้ทัพกลับมา จักรพรรดิคัมมุจึงต้องแก้เกมใหม่โดยการริเริ่มตำแหน่งเซอิไตโชกุง (「征夷大将軍」 Seiitaishogun?) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า โชงึง หรือ โชกุน ขึ้นมา เพื่อให้พวกเขาเหล่านี้ไปพิชิตกลุ่มกบฏเอมิชิ เป็นผลให้ทั้งหน่วยประจัญบานบนหลังม้าและนักแม่นธนู (คิวโดะ (「弓道」 Kyudo?)) ที่มีทักษะฝีมือ ต้องถูกเรียกเข้ามาเป็นเครื่องมือ สำคัญในการคว่ำกำลังกบฏทั้งหลาย ซึ่งถึงแม้ว่านักรบเหล่านี้จะเป็นผู้ที่มีการศึกษาก็ตาม แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว (ประมาณศตวรรษที่ 7 ถึงศตวรรษที่ 9) ตามสายตาของทางการแล้ว พวกเขายังถูกมองว่าเป็นชนชั้นที่สูงกว่าคนเถื่อนขึ้นมานิดเดียว
แต่ในที่สุด จักรพรรดิคัมมุก็ยุติการบัญชาทัพของท่านไป และอำนาจของท่านก็อ่อนแอลงเรื่อย ๆ ขณะเดียวกัน กลุ่มตระกูลที่มีกำลังแข็งแกร่งทั่วเมืองเกียวโต (「京都」 Kyoto?) ก็ได้เข้าครองตำแหน่งรัฐมนตรี และบางส่วนก็มีอำนาจเป็นผู้ปกครองหรือศาลแขวง กลุ่มผู้ปกครองเหล่านี้มักจะเรียกเก็บภาษีจากประชาชนอย่างหนักหน่วง เพื่อที่จะสะสมความมั่งคั่งและเป็นการคืนกำไรให้กับพวกตน จึงส่งผลสำคัญให้ชาวนาหลายต่อหลายคนไร้ที่ดินอยู่ อัตราการปล้นสดมภ์ก็เพิ่มขึ้น เหล่าผู้ปกครองจึงแก้ปัญหาโดยการรับสมัครผู้ถูกเนรเทศในเขตคันโตให้มาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างเข้มงวด เพื่อที่จะใช้พวกเขาเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ทรงประสิทธิภาพ บางครั้งก็ให้ไปช่วยเก็บภาษีและยับยั้งการทำงานของเหล่าหัวขโมยและโจรป่า พวกเขาเหล่านี้ได้ถูกเรียกว่า ซาบุไร (saburai) หรือผู้ที่ถวายตัวเป็นข้ารับใช้ให้แก่กองทัพ ซึ่งผู้ที่เป็นซาบุไรมักจะได้เปรียบกว่าคนอื่น เนื่องจากพวกเขาจะได้รับอำนาจทางการเมืองและมีชนชั้นที่สูงขึ้น
แต่ซามุไรบางกลุ่มก็เป็นเพียงชาวนาและพันธมิตรที่จับอาวุธขึ้นปกป้องตนเองจากกลุ่มซาบุไรที่มีอำนาจสูงกว่า และผู้ปกครองที่จักรวรรดิส่งมาเพื่อเก็บภาษีและครอบครองที่ดินของพวกเขา ซึ่งต่อมา ในช่วงยุคเฮอังตอนกลาง ซาบึไรกลุ่มนี้เองได้นำเอาลักษณะพิเศษของชุดเกราะและอาวุธต่าง ๆ ของญี่ปุ่นมาวางไว้เป็นพื้นฐานของกฎแห่งบูชิโด ซึ่งเป็นกฎที่ประมวลรวมหลักจรรยาต่าง ๆ ของพวกเขา
หลังจากการผ่านพ้นของศตวรรษที่ 11 เป็นต้นมา ผู้ที่จะมาเป็นซามูไรต่างได้รับการคาดหวังว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีวัฒนธรรมและอ่านออกเขียนได้ โดยพวกเขาจะต้องสามารถใช้ชีวิตให้กลมกลืนไปกับคำกล่าวโบราณที่ว่า บุง บุ เรียว โดะ (สว่าง, ศิลปะอักษร, ศิลปะการทหาร, วิถีทั้งสอง) หรือ ความกลมกลืนแห่งพู่กันและดาบ ให้ได้ โดยจะเห็นจากชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกเหล่านักรบในช่วงแรก ๆ ว่า อุรุวาชี คำนี้ถูกเขียนขึ้นมาด้วยตัวอักษรคันจิที่มีการผสมรวมระหว่างลักษณะเฉพาะตัวของศิลปะอักษร (「文」 bun?) และศิลปะการทหาร (「武」 bu?) เข้าด้วยกัน และมโนทัศน์เช่นเดียวกันนี้ ยังถูกกล่าวไว้ในเรื่องเล่าแห่งเฮเกะ (เฮเกะ โมโนงาตาริ, สมัยปลายศตวรรษที่ 12) โดยมีการอ้างอิงไว้ในคำกล่าวของตัวละครที่มีต่อการตายของ ไทระ โนะ ไทดะโนริ นักดาบ-นักกวีผู้มีการศึกษาคนหนึ่งว่า:
- “เหล่าเพื่อนและพวกศัตรูต่างก็มีน้ำตาชุ่มเปียกที่แขนเสื้อ และพากันกล่าวว่า ‘น่าเสียดายเหลือเกิน! ทาดะโนริเป็นขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ มีฝีมือทั้งศิลปะการใช้ดาบและการกวี’ ”
วิลเลียม สก็อตต์ วิลสัน ได้กล่าวเอาไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อ ไอเดียลส์ ออฟ เดอะ ซามูไร ว่า: “เหล่านักรบในเฮเกะ โมโนงาตาริ ถือได้ว่าเป็นตัวแบบสำหรับนักรบที่มีการศึกษาในรุ่นต่อ ๆ มา และอุดมการณ์ต่าง ๆ ที่ถูกอธิบายโดยนักรบแต่ละคนในเรื่องเล่า ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ยากที่จะทำตามหรือเอื้อมถึง มากกว่านั้น อุดมการณ์เหล่านี้ยังเป็นที่ต้องการอย่างมากในสังคมนักรบชั้นสูง และยังเป็นสิ่งที่ถูกแนะนำว่าเหมาะสมที่จะนำว่าใช้เป็นรูปแบบของมนุษย์ติดอาวุธชาวญี่ปุ่นทุกคน ด้วยอิทธิพลของเฮเกะ โมโนงาตาริ นี่เอง ภาพลักษณ์ของนักรบญี่ปุ่นในงานวรรณกรรมต่าง ๆ จึงสุกงอมอย่างเต็มที่” ต่อมา วิลสันยังได้แปลงานเขียนของนักรบบางคนที่มีชื่อในเรื่องเล่าแห่งเฮเกะนี้ เพื่อเป็นตัวอย่างให้คนที่ได้อ่านปฏิบัติตนตามอีกด้วย
[แก้] ค่ายรัฐบาลแห่งคามากุระ และยุคเฟื่องฟูของซามูไร
เดิมแล้ว ซามูไรเป็นเพียงแค่นักรบรับจ้างให้กับองค์พระจักรพรรดิและกลุ่มชนชั้นสูง (คุเงะ (「公家」 kuge?)) เท่านั้น แต่ต่อมา อำนาจของพวกเขาได้ก่อตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ จนในที่สุดพวกเขาสามารถยึดอำนาจของผู้ปกครองชั้นสูงไว้ได้ และก่อร่างกลุ่มคณะที่ปกครองโดยซามูไรขึ้นมาแทน พวกเขาได้สร้างลำดับขั้นการบังคับบัญชาที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ โทเรียว หรือหัวหน้าของพวกเขาขึ้นมา เพื่อทำการสะสมกำลังคนกับทรัพยากรต่าง ๆ และผูกพันธมิตรกับกลุ่มอื่น ๆ ผู้ที่เป็นโทเรียวจะมีระยะห่างเฉพาะในความสัมพันธ์ที่มีต่อองค์จักรพรรดิ และต่อสมาชิกส่วนน้อยของหนึ่งในสามตระกูลมีระดับ (ตระกูลฟุจิวาระ ตระกูลมินาโมโตะ และตระกูลไทระ) ในด้านระเบียบการปกครอง ตามหลักการแล้ว โทเรียวเหล่านี้จะถูกส่งไปรับตำแหน่งเป็นผู้ปกครองหรือผู้พิพากษาศาลแขวงตามจังหวัดต่าง ๆ เป็นเวลาสี่ปี แต่ในความเป็นจริง เมื่อพวกเขาหมดสมัยปกครองแล้ว ก็มักปฏิเสธที่จะกลับมาสู่เมืองหลวงอีกครั้ง และยังได้นำทายาทของตนมาสืบต่อตำแหน่งแทน เพื่อให้การทำงานต่อเนื่องไป และให้เป็นผู้นำทัพออกปราบกบฏทั่วทั้งญี่ปุ่น โดยเฉพาะในช่วงตอนกลางและตอนปลายของยุคเฮอัง
ต่อมา เมื่อกำลังทหารและอำนาจทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น กลุ่มซามูไรผู้ปกครองก็กลายเป็นศูนย์กลางอำนาจใหม่ทางการเมือง การเข้าไปมีส่วนร่วมในการกบฏโฮเง็งช่วงยุคเฮอังตอนปลายก็ยิ่งทำให้อำนาจของพวกเขาแข็งแกร่งมากกว่าเดิมอีก จนในที่สุด ในช่วงการกบฏเฮจิ ปีพ.ศ. 1703 พวกเขาก็สามารถยุยงตระกูลมินาโมโตะ และตระกูลไทระให้ปะทะกันเองได้ หลังจากชัยชนะปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดต่อกลุ่มซามูไร แม่ทัพไทระ โนะ คิโยโมริ ก็กลายเป็นที่ปรึกษาประจำจักรวรรดิ ซึ่งถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ชนชั้นนักรบได้ขึ้นนั่งตำแหน่งสูง ๆ ของญี่ปุ่น และสุดท้าย กลุ่มซามูไรก็เข้าไปควบคุมศูนย์กลางของรัฐบาลได้อย่างเต็มตัว เกิดเป็นคณะรัฐบาลของญี่ปุ่นชุดแรกที่ถูกครอบงำโดยซามูไร ส่วนองค์จักรพรรดิก็ถูกลดทอนอำนาจให้มีสถานะเป็นเพียงประมุขของประเทศเท่านั้น แต่ไม่สามารถใช้อำนาจบริหารบ้านเมืองได้อย่างแต่ก่อน อย่างไรก็ตาม ตระกูลไทระก็ยังคงขับเคี้ยวกันกับตระกูลมินาโมโตะอยู่เหมือนเดิม โดยแทนที่ตระกูลไทระจะใช้วิธีแผ่ขยายอำนาจโดยการเสริมความแข็งแกร่งให้กับกองทหารของตน พวกเขากลับใช้วิธีส่งผู้หญิงในตระกูลเข้าไปอภิเษกกับองค์จักรพรรดิ และพยายามเข้าไปใช้อำนาจผ่านทางจักรพรรดิเพื่อประโยชน์ของตระกูล
ตระกูลไทระและตระกูลมินาโมโตะเข้าปะทะกันอีกครั้งในปีพ.ศ. 1723 เป็นการเริ่มต้นสงครามเก็มเปอย่างเป็นทางการ ซึ่งไปยุติลงในปีพ.ศ. 1728 หลังสงครามสิ้นสุดลง มินาโมโตะ โนะ โยริโตโมะ ผู้ชนะในสงครามครั้งนั้น ได้ทำให้กลุ่มซามูไรมีความเหนือกว่ากลุ่มชนชั้นสูงมากขึ้นไปอีก โดยในปีพ.ศ. 1733 ตัวเขาได้ไปเยือนเมืองเกียวโต และในพ.ศ. 1735 เขาก็กลายเป็นโชกุนในที่สุด และเพื่อเป็นการแทนที่อำนาจซึ่งมาจากเมืองเกียวโต ตัวเขาจึงได้จัดตั้งคณะการปกครองตามระบอบโชกุนในเมืองคามากุระขึ้นมา และยังได้ก่อตั้ง บากุฟุ หรือ ค่ายรัฐบาล ในเมืองเดียวกัน คำว่า “ค่ายรัฐบาล” เป็นคำเปรียบเปรยจากคำว่า ค่ายทหาร เพื่อเป็นการบอกว่ารัฐบาลคณะนี้เป็นรัฐบาลทหารนั่นเอง ส่วนเหตุที่เลือกก่อตั้งที่เมืองคามากุระเป็นเพราะว่า เมืองนี้อยู่ใกล้กับแหล่งฐานอำนาจของตัวเขาเอง
หลังจากช่วงเวลาดังกล่าว กลุ่มซามูไรผู้ทรงอำนาจก็กลายเป็นนักรบชนชั้นนำ (บุเกะ) ผู้ซึ่งมีเพียงชื่อเท่านั้นที่ดำรงอยู่ภายใต้สำนักกลุ่มผู้ปกครองชนชั้นสูง หรือราชสำนัก เมื่อซามูไรเริ่มเข้าไปเป็นเจ้าของเครื่องจรรโลงใจต่าง ๆ ของกลุ่มชนชั้นสูง อย่างศิลปะลายมือ บทกวี และเพลง ในทางกลับกัน สำนักผู้ปกครองชนชั้นสูงบางสำนักก็เข้าไปเป็นเจ้าของธรรมเนียมต่าง ๆ ของซามูไรบ้าง แต่ถึงแม้ว่าจักรพรรดิหลาย ๆ พระองค์จะสร้างแผนการอันชั่วร้ายและกฏระยะสั้นต่าง ๆ ออกมาเพื่อลดบทบาทของกลุ่มซามูไร อำนาจที่แท้จริงในขณะนั้นก็ยังอยู่ในกำมือของโชกุนและซามูไรอยู่ดี
[แก้] คณะการปกครองของโชกุนอาชิกางะ และยุคศักดินา
ซามูไรหลายกลุ่มต่างใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะกุมอำนาจเหนือเมืองคามากุระ และคณะการปกครองของโชกุนอาชิกางะ
ในช่วงศตวรรษที่ 13 ศาสนาพุทธลัทธิเซนถูกเผยแพร่ไปทั่วกลุ่มซามูไร ลัทธินี้ช่วยก่อร่างสร้างมาตรฐานแห่งประพฤติกรรมของพวกเขาขึ้นมา โดยเฉพาะพฤติกรรมการเอาชนะความกลัวตายและการสังหาร แต่สำหรับผู้คนกลุ่มอื่น ๆ แล้ว ศาสนาพุทธกระแสหลักก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่
ในปีพ.ศ. 1817 ราชวงศ์หยวน (แห่งจักรวรรดิมองโกล) ได้ส่งกำลังทหารประมาณ 40,000 นาย และเรือ 900 ลำเพื่อมาตีญี่ปุ่นที่เกาะคิวชู ทางฝ่ายญี่ปุ่นจึงได้รวบรวมกำลังซามูไรประมาณ 10,000 คนเพื่อเตรียมต่อต้านการบุกรุกครั้งนี้ แต่ตลอดการบุกเข้ามา กองทหารมองโกลทั้งหมดกลับโดนโจมตีโดยพายุขนาดใหญ่หลายลูก เป็นผลให้ฝ่ายตั้งรับปลอดภัยจากการสูญเสียกำลังพลครั้งใหญ่ จนในที่สุดกองทหารหยวนก็ถูกเรียกกลับจักรวรรดิไปและการบุกรุกก็สิ้นสุดลง แต่การกระทำของมองโกลในครั้งนั้นถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าจดจำสำหรับญี่ปุ่น เนื่องจากว่ากองกำลังมองโกลกลุ่มนี้ใช้ระเบิดขนาดเล็กเป็นอาวุธด้วย ทำให้ญี่ปุ่นได้รู้จักกับระเบิดและดินปืนเป็นครั้งแรก
ฝ่ายญี่ปุ่นตระหนักดีว่ามีความเป็นไปได้ที่การถูกบุกรุกจะเกิดขึ้นอีก พวกเขาจึงต้องสร้างแนวป้องกันหินขนาดใหญ่รอบอ่าวฮะกะตะ โดยเริ่มลงมือสร้างตั้งแต่ปีพ.ศ. 1819 และไปสิ้นสุดเอาเมื่อปีพ.ศ. 1820 แนวป้องกันนี้มีความยาว 20 กิโลเมตรทอดตัวไปตามแนวชายฝั่ง นี่ถือว่าเป็นจุดตั้งรับที่แข็งแรงที่จะต้านมองโกลไว้ได้ ทางฝ่ายมองโกลก็พยายามแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีทางการทูต โดยเริ่มกระทำตั้งแต่ปีพ.ศ. 1818 ถึงปีพ.ศ. 1822 แต่ผู้ส่งสารของมองโกลแต่ละคนที่เดินทางไปญี่ปุ่นล้วนแล้วถูกจับประหารชีวิตทั้งสิ้น เป็นผลให้ต้องเกิดการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นในเวลาต่อมา
ในปีพ.ศ. 1824 กองทหาร 140,000 นายกับเรืออีก 4,400 ลำของราชวงศ์หยวน เดินทางมาที่ญี่ปุ่นอีกครั้งเพื่อมาทำสงครามครั้งใหม่ ทางด้านญี่ปุ่นก็จัดเตรียมซามูไร 40,000 คนเพื่อป้องกันตอนเหนือของเกาะคิวชูไว้ เมื่อทัพมองโกลเดินทางมาถึง ทหารมองโกลยังคงต้องอยู่บนเรือของพวกเขาเพื่อเตรียมตัวปฏิบัติการยกพลขึ้นบก แต่เมื่อถึงเวลายกพลขึ้นบกจริง พวกเขาต้องพบกับพายุไต้ฝุ่นที่เข้าปะทะเกาะคิวชูตอนเหนือพอดี ตามมาด้วยการพบกับกำลังป้องกันของญี่ปุ่นที่แนวป้องกันบนอ่าวฮะกะตะอีก ทำให้ทัพมองโกลรับความเสียหายและต้องสูญเสียกำลังพล ผลสุดท้าย ทัพมองโกลก็ต้องถูกเรียกกลับสู่จักรวรรดิอีกครั้ง
พายุฝนในปีพ.ศ. 1817 และพายุไต้ฝุ่นในปีพ.ศ. 1824 ช่วยให้กองกำลังซามูไรที่ทำหน้าที่ปกป้องญี่ปุ่นไล่ผู้บุกรุกชาวมองโกลกลับไปได้ แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีกำลังพลที่มากกว่าอย่างมากก็ตาม ลมพายุทั้งสองนี้ได้กลายเป็นที่รู้จักกันในชื่อ คามิ-โนะ-คะเซะ ซึ่งมีความหมายตามตัวอักษรว่า ลมแห่งเทพเจ้า หรือที่แปลกันอย่างง่ายว่า ลมพระเจ้า ลมคามิ-โนะ-คะเซะได้สร้างความเชื่อให้แก่ชาวญี่ปุ่นว่าแผ่นดินต่าง ๆ ของพวกเขาอยู่ภายใต้การปกป้องของเทพเจ้าและสิ่งเหนือธรรมชาติ
ในศตวรรษที่ 14 ช่างตีดาบที่ชื่อ มาซามุเนะ ได้พัฒนาเหล็กกล้าที่มีโครงสร้างสองชั้นผสมกันระหว่างเหล็กอ่อนและเหล็กแข็งขึ้นเพื่อใช้ในการตีดาบ โครงสร้างนี้ได้สร้างความก้าวหน้าในพลังและคุณภาพการตัดอย่างมาก ซึ่งเทคนิคการผลิตดังกล่าวได้นำไปสู่การสร้างดาบญี่ปุ่น (ดาบคาตานะ) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะของหนึ่งในอาวุธคู่มือที่ทรงอานุภาพมากที่สุดในเอเชียตะวันออกช่วงยุคก่อนการพัฒนาอุตสาหกรรม ดาบหลาย ๆ เล่มที่สร้างขึ้นมาโดยเทคนิคดังกล่าวนี้ได้ถูกส่งออกข้ามทะเลจีนตะวันออกไป ซึ่งจุดที่ไกลที่สุดที่ดาบเดินทางไปถึงคือดินแดนอินเดีย
ประเด็นในเรื่องการสืบทอดตำแหน่งโดยทายาทเป็นเหตุให้การต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งโดยตระกูลต่าง ๆ เป็นเรื่องธรรมดา ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีการที่ขัดต่อระเบียบการสืบทอดอำนาจที่ตราเอาไว้ในกฎหมายของญี่ปุ่นก่อนศตวรรษที่ 14 ก็ตาม เพื่อที่จะลีกเลี่ยงการใช้วิธีชิงอำนาจดังกล่าว การบุกรุกเข้ามาของกลุ่มซามูไรที่อยู่ในเขตแดนติดกันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง และการวิวาทระหว่างซามูไรด้วยกันเองก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาตลอดเวลาสำหรับเมืองคามากูระและสมัยการปกครองของโชกุนอาชิกางะ
ยุค เซ็งโงกุ จิได (ยุคภาวะสงคราม) เป็นยุคที่ซามูไรสูญเสียวัฒนธรรมของตนเองให้กับกลุ่มคนที่เกิดในชนชั้นทางสังคมอื่น ๆ ที่บางครั้งได้อุปโลกน์ตัวเองว่าเป็นนักรบซามูไร โดยไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องตามครรลองแห่งการเป็นซามีไรหรือไม่ ดังนั้นในช่วงที่ไร้ความควบคุมเช่นนี้ หลักจรรรยาแบบบูชิโดจึงถูกนำมาใช้เป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมสังคมสาธารณะ
กลยุทธ์และเทคโนโลยีการสงครามของญี่ปุ่นก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในช่วงศตวรรษที่ 15 และศตวรรษที่ 16 มีการใช้กองทหารราบที่เรียกกันว่า อาชิงารุ (หรือ เท้าเบา สืบเนื่องมาจากชุดเกราะเบาที่ใช้ ซึ่งที่จริงก็คือนักรบชั้นที่ต่ำลงไปและประชาชนธรรมดาที่ถูกจัดให้ใช้อาวุธนางายาริ (หอกยาว) หรือนางินาตะ) จำนวนมากร่วมกับกองทหารม้าที่เตรียมเอาไว้ตามแผนการรบอยู่แล้ว ทำให้จำนวนคนที่เข้าไปรับใช้กองทัพเพิ่มขึ้นจากหลักพันกลายเป็นหลักแสนทันที
อาวุธปืนเล็กยาวได้เข้ามาสู่ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในปีพ.ศ. 2086 โดยชาวโปรตุเกสผ่านทางเรือโจรสลัดของจีน (ในทศวรรษนี้ ชาวญี่ปุ่นทุกคนได้ชื่อว่าเป็นพลเมืองของประเทศญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว) กลุ่มของทหารรับจ้างหลาย ๆ กลุ่มกับปืนเล็กยาวที่ถูกผลิตออกมาจำนวนมากจึงเล่นบทบาทสำคัญในญี่ปุ่นช่วงนั้น
เมื่อสิ้นสุดยุคศักดินา ญี่ปุ่นมีปืนชนิดต่าง ๆ ประมาณหนึ่งแสนกระบอก และมีกองทหารจำนวน 100,000 กว่าคนที่ทำหน้าที่ร่วมรบในสมรภูมิ ซึ่งถ้าเทียบกับกองทหารสเปนที่มีขนาดใหญ่และทรงพลังมากที่สุดในทวีปยุโรปแล้ว พวกเขาก็มีอาวุธปืนเพียงแค่หนึ่งหมื่นกระบอก และกำลังทหารก็มีแค่ 30,000 คนเท่านั้น
ในปีพ.ศ. 2135 และอีกครั้งในปีพ.ศ. 2141 โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ตัดสินใจที่จะบุกจีน (「唐入り」?) และอีกทางหนึ่งก็ส่งกำลังซามูไรจำนวน 160,000 คนไปบุกเกาหลี โดยใช้ความได้เปรียบในด้านความชำนาญในการใช้อาวุธปืนเล็กยาวและ การบริหารกองทัพของฝ่ายเกาหลีที่แย่กว่าเป็นหนทางสู่ชัยชนะ ซามูไรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสงครามครั้งนี้ได้แก่ คาโตะ คิโยมาซะ และชิมาซุ โยชิหิโระ
หลังจากนั้น การเปลี่ยนแปลงทางสังคมในด้านทรัพยากรมนุษย์ก็เป็นไปอย่างยืดหยุ่น เหมือนกับระบบโบราณที่ล่มสลายไปแล้วได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เนื่องจากซามูไรต้องการที่จะคงกำลังทหารขนาดใหญ่และองค์กรที่พวกตนบริหารเอาไว้ในเขตอิทธิพลของพวกเขาเอง ตระกูลซามูไรหลาย ๆ ตระกูลที่ดำรงอยู่จนถึงศตวรรษที่ 19 ก็ออกมาประกาศว่า พวกตนเป็นสายเลือดของหนึ่งในสี่ตระกูลชั้นนำโบราณ ซึ่งได้แก่ตระกูลมินาโมโตะ ตระกูลไทระ ตระกูลฟุจิวาระ และตระกูลทาจิมานะ แต่อย่างไรก็ตาม ในหลาย ๆ กรณี ก็เป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ว่าต้นตระกูลของพวกเขาเป็นใครกันแน่
[แก้] โอดะ, โทโยโตมิ, และโทกุงาวะ
โอดะ โนบุนางะ คือขุนนางที่มีชื่อเสียงของเขตนาโงยะ (ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าจังหวัดโอวาริ) และยังเป็นตัวอย่างของซามูไรที่โดดเด่นต่างจากผู้อื่นในยุคเซ็งโงกุ เขาเข้ามามีบทบาทและได้วางหนทางเพื่อความสำเร็จของเขา ไม่กี่ปีหลังจากการรวมญี่ปุ่นอีกครั้งภายใต้ “ค่ายรัฐบาล” หรือ “บากุฟุ” (คณะปกครองในระบอบโชกุน) ใหม่
โอดะ โนบุนางะ ได้สร้างนวตกรรมทางด้านการบริหารและกลยุทธ์การสงครามเอาไว้มากมาย ได้แก่ การใช้ประโยชน์จากปืนเล็กยาวอย่างหนัก พัฒนาการพาณิชย์และอุตสาหกรรม และสร้างนวตกรรมใหม่ในด้านการคลัง ชัยชนะของเขาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ตัวเขาเข้าใจถึงการสิ้นสุดลงของค่ายรัฐบาลอาชิกางะ และการปลดอาวุธจากกำลังทหารของพระในศาสนาพุทธ ซึ่งนำไปสู่ความโกรธเกรี้ยวและการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์ระหว่างประชาชนธรรมดาด้วยกันเป็นเวลาหลายศตวรรษ เขารู้ว่าการโจมตีที่มาจาก "สถานที่ศักดิ์สิทธิ์” ของวัดชาวพุทธ เกิดจากแรงกดดันที่มีมาจากการกระทำของขุนศึกและแม้แต่จักรพรรดิซึ่งพยายามจะควบคุมการกระทำของพวกเขา
โอดะถึงแก่กรรมในปีพ.ศ. 2125 เมื่ออาเกจิ มิตสึฮิเดะ แม่ทัพคนหนึ่งในสังกัดของเขา หักหลังเขากับทหารของเขาด้วย
หลังจากนั้น โทโยโตมิ ฮิเดะโยชิ และโทกุงาวะ อิเอยาซุ (ผู้ซึ่งก่อตั้ง คณะการปกครองโชกุนโทกุงาวะ) ที่ต่างก็เป็นผู้ติดตามที่จงรักภักดีของโนบุนางะ ก็ได้หาทางกำจัดมิตสึฮิเดะ - ฮิเดโยชิเป็นผู้ที่เติบโตมาจากชาวนาไร้ชื่อเสียงสู่หนึ่งในแม่ทัพที่มีฝีมือของโนบุนางะ ส่วนอิเอยาซุนั้นก็เติบโตมาด้วยกันกับโนบึนางะตั้งแต่เด็ก
ฮิเดโยชิเอาชนะมิตสึฮิเดะได้ภายในหนึ่งเดือน และถือเป็นผู้ที่สืบทอดอำนาจต่อจากโนบุนางะโดยชอบธรรมโดยการยึดทรัพย์สินของมิตสึฮิเดะ
แม่ทัพทั้งสองได้ให้ความสำเร็จที่ผ่านมาของโนบุนางะเป็นของขวัญในการรวมญี่ปุ่นเข้าด้วยกัน พวกเขาได้กล่าวคำสำคัญเอาไว้ในเหตุการณ์นี้ว่า: “การรวมแผ่นดินครั้งนี้ก็เหมือนกับข้าวปั้น โอดะทำมันขึ้นมา ฮาชิบะแต่งรูปร่างให้มัน และสุดท้าย มีเพียงอิเอยาซุเท่านั้นที่จะเป็นคนลิ้มรสมัน” (ฮาชิบะ คือชื่อตระกูลที่โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ใช้ในขณะที่เขายังเป็นผู้ติดตามของโนบุนางะ)
โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ผู้เป็นบุตรของตระกูลชาวนาที่ยากจน ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีในปีพ.ศ. 2129 เขาได้ตรากฎหมายให้ชนชั้นซามูไรมีความเป็นถาวรและสามารถตกทอดไปสู่ทายาทได้ ส่วนผู้ที่มิใช่ซามูไรนั้น ไม่สามารถพกพาอาวุธติดตัวได้ ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้กลุ่มซามูไรที่อุปโลกน์ตัวเองขึ้นมาเป็นอันต้องสิ้นสุดลง
หลังจากที่เกิดกฎหมายดังกล่าวขึ้นมา ความคลุมเคลือระหว่างซามูไรจริงกับซามูไรปลอมก็เริ่มลดลง ชายวัยผู้ใหญ่ของทุก ๆ ระดับชั้นทางสังคม (แม้แต่ชาวนา) ส่วนมากแล้วจะไปขึ้นตรงต่อองค์กรทางการทหารอย่างน้อยหนึ่งองค์กร เพื่อรับใช้องค์กรนั้น ๆ ในการทำสงคราม จึงสามารถกล่าวได้ว่า สถานการณ์ “มวลชนปะทะมวลชน” กำลังจะดำเนินต่อไปอีกศตวรรษ
ตระกูลซามูไรที่มีอานาจในช่วงหลังศตวรรษที่ 17 จะได้รับเลือกให้ติดตามโนบุนางะ, ฮิเดโยชิ, และอิเอยาซุ สงครามขนาดใหญ่หลาย ๆ ครั้งเกิดขึ้นในช่วงการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ซามูไรที่พ่ายแพ้และถูกสังหารมีจำนวนมาก ซามูไรที่รอดกลับมาหลายต่อหลายคนก็ต้องกลายเป็นโรนิง หรือไม่ก็กลายเป็นประชาชนธรรมดา
[แก้] คณะการปกครองของโชกุนโทกุงาวะ
ตลอดสมัยการปกครองของตระกูลโทกุงาวะ (ที่มักจะเรียกกันว่าสมัยเอโดะ) นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา ก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่มีสงครามปะทุขึ้นอีกเลย ในยุคนี้ซามูไรหลาย ๆ คนจึงสูญเสียหน้าที่ทางการทหารไปทีละน้อย เป็นเหตุให้พวกเขาต้องหันมาทำงานเป็นข้าราชสำนัก ข้าราชการ และนักบริหารมากกว่าที่จะเป็นนักรบอย่างเคย
เมื่อสิ้นยุคของโทกุงะวะ ซามูไรก็กลายเป็นข้าราชการชนชั้นสูงรับใช้ผู้ที่เป็นไดเมียว ในยุคนี้ไดโชะของซามูไร (ดาบยาวและสั้นที่ซามูไรพกพาไว้คู่กัน หรือที่เรียกว่าคาตานะ และวากิซาชิ) ได้กลายมาเป็นตราสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอำนาจมากกว่าจะเป็นอาวุธที่ใช้ในชีวิตประจำวัน พวกเขายังคงได้อำนาจตามกฎหมายที่จะฆ่าใครก็ได้ที่ไม่แสดงความเคารพอย่างเหมาะสมต่อตัวเขาอีกด้วย
ต่อมาเมื่อรัฐบาลกลางบังคับให้ไดเมียวต้องลดจำนวนซามูไรในสังกัดลง ปัญหาสังคมที่ตามมาคือจำนวนโรนิงที่เพิ่มมากขึ้น
ตามหลักการแล้ว พันธะที่เกิดขึ้นระหว่างซามูไรกับเจ้านายของพวกเขา (ส่วนใหญ่ก็คือไดเมียว) มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากจากสมัยเก็มเปสู่สมัยเอโดะ ในช่วงนี้ ซามูไรจะให้ความสำคัญต่อคำสอนของปราชญ์ขงจื๊อและเม่งจื๊ออย่างมาก ตำราของปราชญ์ทั้งสองเป็นที่ต้องการของชนชั้นซามูไรที่มีการศึกษา
ตลอดสมัยเอโดะ หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง การประมวลหลักบูชิโดก็เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ สิ่งสำคัญคือ หลักบูชิโดเป็นเรื่องของอุดมคติ แต่ก็เป็นหลักที่ยังคงรูปแบบเดิมได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 จนถึงศตวรรษที่ 19 – อุดมการณ์บูชิโดเป็นอุดมการณ์ของชนชั้นนักรบที่อยู่เหนือบริบทชนชั้นทางสังคม เวลา และภูมิสถาน
หลักบูชิโดถูกทำให้เป็นทางการโดยซามูไรหลาย ๆ คน หลังจากที่บ้านเมืองอยู่ในความสงบ ไร้สงคราม คล้ายกันกับหลัก ชิวัลรี ที่ถูกทำให้เป็นทางการเช่นกัน หลังจากที่อัศวินซึ่งเป็นชนชั้นนักรบในทวีปยุโรปล่มสลายไป
หลักความประพฤติของซามูไรได้กลายเป็นตัวแบบที่เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนในสมัยเอโดะ ซึ่งเป็นสมัยที่เน้นความเป็นทางการอย่างมาก นอกจากนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว ซามูไรหลาย ๆ คนยังได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการไล่ตามสิ่งที่น่าสนใจอื่น ๆ ด้วย เช่น การได้เป็นบัณฑิตผู้มีความรู้อย่างลึกซึ้ง เป็นต้น
หลักบูชิโด และหลักเกณฑ์อื่น ๆ ที่เป็นวิถีชีวิตของซามูไร ปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีชิวิตอยู่ในสังคมแบบญี่ปุ่น
[แก้] การเสื่อมถอยในช่วงการปฏิรูปสมัยเมจิ
ในช่วงเวลานี้ วิถีทางแห่งความตายและเต็มไปด้วยอันตราย ได้ถูกทำให้ลดลงโดยการ "ปลุกให้ตื่นขึ้น" อย่างหยาบคายในปีพ.ศ. 2396 เมื่อพลเรือจัตวาแมทธิว เพอร์รี ได้นำเรือกลไฟจำนวนมากจากกองราชนาวีสหรัฐอเมริกา มาทำการค้ากับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นชาติที่ถูกครอบงำโดยนโยบายโดดเดี่ยวตัวเองอยู่ช่วงหนึ่ง ในช่วงแรก เนื่องจากการควบคุมอย่างเข้มงวดจากโชกุน จึงมีเพียงแต่เมืองท่าบางเมืองเท่านั้นที่สามารถทำการค้ากับตะวันตกได้
การเข้ามาทำการค้าในญี่ปุ่นของชาติตะวันตกครั้งนั้นมีพื้นฐานมาจากความคิดที่จะแข่งขันกันระหว่างกลุ่มศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิกนิกายฟรานซิสกันส์และโดมินิกันส์กับกลุ่มอื่น ๆ (เพื่อการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีปืนเล็กยาว ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ซามูไรแบบดั้งเดิมต้องล่มสลายไป)
ปฏิบัติการครั้งสุดท้ายของทัพซามูไรต้นตำรับเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2410 เมื่อซามูไรจากจังหวัดโจชุและจังหวัดซัตสึมะสามารถเอาชนะกองกำลังของโชกุนที่ได้รับการสนับสนุนจากคำสั่งขององค์จักรพรรดิได้ ก่อนหน้านี้ไดเมียวของทั้งสองจังหวัดได้ไปสวามิภักดิ์กับอิเอยะซุหลังจากที่สงคราม ณ ทุ่งเซกิงาฮาระสิ้นสุดลง (พ.ศ. 2143)
แต่ก็มีแหล่งข้อมูลอื่นอีกที่อ้างว่า ปฏิบัติการครั้งสุดท้ายของซามูไรเกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2420 ในช่วงที่เกิดกบฏซัตสึมะในสงครามแห่งชิโรยามะ ความขัดแย้งซึ่งเป็นที่มาของปฏิบัติการครั้งนั้นเริ่มมาจากการรุกฮือขึ้นก่อกบฏในครั้งที่ผ่านมาเพื่อที่จะเอาชนะโชกุนโทกุงาวะ
เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นได้นำไปสู่การปฏิรูปครั้งสำคัญ ที่เรียกว่าการปฏิรูปสมัยเมจิ
คณะรัฐบาลชุดใหม่ที่มีบทบาทในช่วงนั้น ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ อย่างถอนรากถอนโคน โดยได้ตั้งเป้าหมายไปที่การลดอำนาจของระบบศักดินา ซึ่งรวมทั้งในจังหวัดซัตสึมะด้วย และการยุบเลิกสถานะความเป็นซามูไรลงไป ในที่สุดแล้วการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้นำไปสู่การก่อกบฏที่เกิดขึ้นมาก่อนกำหนด โดยมีแกนนำคือ ไซโง ทากาโมริ
จักรพรรดิเมจิได้สั่งให้ยุติสิทธิของซามูไรในเรื่องของการเป็นชนกลุ่มเดียวที่สามารถเป็นกองกำลังทหารได้ เพื่อสนับสนุนให้เกิดกองทัพทหารเกณฑ์ที่เป็นแบบตะวันตก และมีความทันสมัยมากขึ้น ซามูไรได้กลายเป็น “ชิโซกุ” (「士族」?) ผู้ซึ่งยังได้รับเงินเดือนเป็นค่าตอบแทนอยู่ แต่สิทธิในการพกพาดาบคาตานะในพื้นที่สาธารณะได้นั้น ต้องถูกยกเลิกไปพร้อม ๆ กับสิทธิในการฆ่าใครก็ได้ที่ไม่ให้ความเคารพต่อตน ในที่สุด กลุ่มคนที่เรียกตนเองว่าซามูไรก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด หลังจากที่ผ่านเวลากว่าร้อยปีแห่งความสุขที่มีต่อสถานะของพวกตน อำนาจของพวกตน และความสามารถของพวกตนในการก่อร้างสร้างคณะรัฐบาลแห่งดินแดนญี่ปุ่นได้ แต่อย่างไรก็ตาม กฎของรัฐที่ออกมาจากชนชั้นทหารก็ยังไม่ได้สิ้นสุดลงไปด้วย
[แก้] ยุคหลังการปฏิรูปสมัยเมจิ
เพื่อเป็นการแสดงว่าญี่ปุ่นมีความทันสมัย สมาชิกในคณะรัฐบาลเมจิจึงตัดสินใจที่จะเดินตามรอยเท้าของสหราชอาณาจักรและเยอรมนี โดยให้อยู่บนฐานคติที่ว่า “สิทธิพิเศษย่อมมีข้อผูกมัด” (“noblesse oblige”) ส่วนซามูไรนั้น ก็ถูกลดอำนาจทางการเมืองไปเหมือนกับของปรัสเซีย
เมื่อการปฏิรูปสมัยเมจิเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ชนชั้นซามูไรก็ล่มสลายไป และกองทัพประจำชาติแบบตะวันตกก็เกิดขึ้นแทน ทหารในกองทัพสมัยใหม่ขององค์พระจักรพรรดิแห่งประเทศญี่ปุ่นล้วนแล้วแต่เป็นทหารที่ถูกเกณฑ์เข้ามาทั้งสิ้น แต่ก็มีซามูไร (เก่า) หลาย ๆ คนที่อาสาไปเป็นทหารให้ และอีกหลายคนก็เข้าไปฝึกเพื่อที่จะเป็นเจ้าหน้าที่อยู่ในกองทัพ ผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ในกองทัพนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะมีจุดเริ่มต้นมาจากซามูไรแทบทั้งสิ้น ทำให้พวกเขาเข้ามาทำงานพร้อมกับแรงจูงใจและวินัยขั้นสูง ประกอบกับการหมั่นฝึกฝนที่โดดเด่นผิดธรรมดา
นักเรียนแลกเปลี่ยนชาวญี่ปุ่นหลายต่อหลายคนในช่วงหลังก็ล้วนเป็นซามูไรมาก่อนเช่นกัน ที่เป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะว่าซามูไรเท่านั้นถึงจะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนได้ แต่เป็นเพราะว่า ซามูไรหลาย ๆ คนอ่านออกเขียนได้และมีการศึกษาที่ดี นักเรียนแลกเปลี่ยนบางคนเริ่มต้นเรียนที่โรงเรียนเอกชนก่อนเพื่อโอกาสทางการศึกษาที่สูงขึ้น
ในขณะเดียวกัน ซามูไรเก่าอีกหลายคนก็หันมาจับปากกาแทนปืน และได้กลายเป็นนักข่าวและนักประพันธ์ และยังได้ตั้งสำนักหนังสือพิมพ์ของตนเองอีกด้วย ส่วนอดีตซามูไรคนอื่น ๆ ก็เข้าไปรับใช้คณะรัฐบาล เนื่องจากพวกเขาอ่านออกเขียนได้และมีการศึกษานั่นเอง
[แก้] ซามูไรชาวตะวันตก
ชาวต่างประเทศคนแรกที่ได้รับเกียรติให้เป็นซามูไร น่าจะเป็นทหารและนักพจญภัยชาวอังกฤษที่มีนามว่า วิลเลียม อดัมส์ (พ.ศ. 2107 – พ.ศ. 2163) โชกุนโทกุงาวะ อิเอยาซุได้ประทานดาบคู่ให้แก่เขาเพื่อเป็นตัวแทนแห่งอำนาจของซามูไร พร้อมกับมีบัญชาออกมาว่า นักบินวิลเลียม อดัมส์ ได้ตายไปแล้ว และซามูไร มิอุระ อันจิง (「三浦按針」?) ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแทน นอกจากการได้เป็นซามูไร อดัมส์ยังได้รับตำแหน่ง ฮาตาโมโตะ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้รับความเคารพอย่างสูง มีหน้าที่เป็นข้ารับใช้โดยตรงในสำนักของโชกุน นอกจากนั้น เขายังได้รับที่ดินในเฮมิ (「逸見」?) ซึ่งเป็นที่ดินที่มีเขตแดนอยู่ในเมืองโยโกซุกะในปัจจุบัน เป็นส่วนแบ่งจากท่านโชกุน พร้อมกับข้าทาสบริวารอีกส่วนหนึ่ง โดยมีหลักฐานปรากฏในจดหมายของเขาว่า “ด้วยชาวนาแปดสิบหรือเก้าสิบคนนี่แหละ ที่จะมาเป็นข้าทาสและบริวารของข้าพเจ้า” ทรัพย์สมบัติในรูปแบบของที่ดินของเขามีค่ามากเท่ากับ 250 โกกุ (หน่วยวัดรายได้ที่มาจากผืนนาบนที่ดินของญี่ปุ่น มีค่าประมาณห้าบูเชล)
ในท้ายที่สุด เขาได้เขียนในจดหมายของเขาว่า “พระเจ้าได้บันดาลพรให้ข้าพเจ้า หลังจากที่ข้าพเจ้าต้องพบกับความทุกข์ระทม” เนื้อความดังกล่าวหมายความว่า ความหายนะ (จากการเดินทาง) ได้นำเส้นทางของเขาให้มาพบกับชีวิตที่ดีในญี่ปุ่น
นอกจากวิลเลียม อดัมส์ แล้ว ในช่วงที่เกิดสงครามโบชิง (พ.ศ. 2411 – พ.ศ. 2412) ก็ยังมีทหารชาวฝรั่งเศสหลาย ๆ คนที่เข้ามาร่วมกับกองกำลังของโชกุนต่อสู้กับกลุ่มไดเมียวฝ่ายใต้ที่เห็นชอบกับการปฏิรูปสมัยเมจิ โดยได้มีการบันทึกไว้ว่า เจ้าหน้าที่ราชนาวีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งที่ชื่อ Eugène Collache ได้ต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ภายใต้เครื่องแบบของซามูไร เคียงบ่าเคียงใหล่ไปกับเพื่อนร่วมรบชาวญี่ปุ่นคนอื่น ๆ ด้วย
[แก้] วัฒนธรรมซามูไร
ซามูไรได้พัฒนาวัฒนธรรมของพวกเขาเองในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งวัฒนธรรมเหล่านี้ยังได้ส่งอิทธิพลต่อรูปแบบวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นโดยรวมอีกด้วย
[แก้] การศึกษา
ผู้ที่เป็นซามูไรต่างได้รับการคาดหวังว่าจะต้องเป็นคนที่สามารถอ่านออกเขียนได้ พร้อมกับต้องมีความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ด้วย นอกจากนั้น ยังได้รับความคาดหวังว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีความสนใจในศิลปะด้านอื่น ๆ อย่างเช่น การเต้นรำ การเล่นโกะ งานวรรณกรรม บทกวี และชา เป็นต้น ถึงแม้ว่าศิลปะเหล่านี้ไม่ได้จำเป็นต่อพวกเขาเลยก็ตาม
แต่ในประวัติศาสตร์ ซามูไรผู้ที่มีชื่อเสียงหลายคนก็ไม่ได้มีคุณสมบัติตามวุฒิการศึกษาที่กล่าวไว้ข้างต้น ตัวอย่างเช่น โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ซามูไรผู้ยิ่งใหญ่ที่มีพื้นเพเป็นชาวนา ก็มีอุปสรรคสำคัญอยู่ตรงที่เขาสามารถอ่านและเขียนได้แต่ภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ตัวอักษรฮิรางานะเท่านั้น อีกผู้หนึ่งคือ โอดะ โดกัง บุคคลผู้ที่ปกครองเอโดะเป็นคนแรก ก็เคยเขียนระบายความในใจของเขาว่า เขาละอายใจเหลือเกินที่ได้พบว่า แม้แต่ประชาชนธรรมดายังมีความรู้ทางด้านการกวีมากกว่าตัวเขาเอง ทำให้เขารู้สึกอัปยศจนต้องยอมสละสมบัติและตำแหน่งของเขาไปในที่สุด
[แก้] ประเพณีชุโด
ชุโด (「衆道」?) คือ ประเพณีแห่งสายใยรักที่เกิดขึ้นระหว่างซามูไรผู้แก่กล้าวิชากับซามูไรที่ยังไร้ประสบการณ์ ที่เปรียบได้ดัง “ดอกไม้แห่งจิตวิญญาณของซามูไร” ที่ได้ก่อร่างสร้างพื้นฐานที่แท้จริงของลัทธิความงามของผู้ที่เป็นซามูไรขึ้นมา ประเพณีนี้มีความคล้ายคลึงกับประเพณีของกรีกโบราณที่ชายวัยผู้ใหญ่มักจะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเด็กผู้ชาย
สำหรับสังคมซามูไร นี่ถือว่าเป็นประเพณีที่มีเกียรติ เป็นการปฏิบัติที่สำคัญ และเป็นเส้นทางสายหลักที่จะสืบทอดความคิด คุณค่า จิตวิญญาณ และทักษะแห่งประเพณีซามูไร จากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นต่อ ๆ ไปได้
อีกชื่อหนึ่งของประเพณีนี้คือ บิโด (「美道」?) (วิถีทางแห่งความงาม) เป็นประเพณีที่เชื่อว่า ความรักอันหนักแน่นที่ซามูไรสองคนมีให้แก่กันนั้น เป็นสิ่งที่เกือบจะยิ่งใหญ่เท่ากับความรักแบบเดียวกันที่มีให้แก่ไดเมียว จากข้อมูลในบทบันทึกร่วมสมัยฉบับหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า ทางเลือกระหว่างความรักที่มีต่อซามูไรอีกคน กับ เจ้านายของเขาเอง สามารถกลายมาเป็นปัญหาทางปรัชญาสำหรับซามูไรได้
ในตำราฮางากุเระและคู่มือสำหรับซามูไรฉบับอื่น ๆ ได้ให้คำสอนที่เจาะจงไปที่วิถีของประเพณีเช่นนี้ว่า เป็นสิ่งที่ซามูไรควรจะต้องทำตามและให้ความเคารพ
หลังจากที่เกิดการปฏิรูปสมัยเมจิและการเข้ามาของแบบแผนการดำเนินชีวิตของตะวันตก การหลงใหลในความงามของผู้ชายก็ถูกแทนที่โดยความหลงใหลในเพศหญิงตามแบบยุโรปแทน นี่จึงเป็นจุดจบของประเพณีชุโดไปในที่สุด
[แก้] การตั้งชื่อ
ชื่อเต็มของซามูไร มักจะตั้งขึ้นมาโดยการนำเอาชื่อที่อ่านตามตัวอักษรคันจิของพ่อหรือปู่ของเขา มารวมกับชื่อใหม่อีกหนึ่งชื่อที่อ่านตามตัวอักษรคันจิเหมือนกัน ซึ่งตามธรรมดาแล้ว ซามูไรจะใช้ชื่อบางส่วนจากชื่อเต็มทั้งหมดเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น โอดะ คาซุซะโนซุเกะ ซาบุโร โนบุนางะ (「織田上総介三郎信長」?) ก็คือชื่อเต็มของโอดะ โนบุนางะ โดยคำว่า โอดะ ก็คือชื่อของตระกูลหรือสังกัด คำว่า คาซุซะโนซุเกะ ก็คือชื่อตำแหน่งรองข้าหลวงประจำจังหวัดคาซึซะ คำว่า ซาบุโระ ก็คือชื่อที่มีมาก่อนเข้าพิธีเก็มปุกุ (พิธีฉลองการเจริญวัย) และคำว่า โนบุนางะ ก็คือชื่อที่ตั้งขึ้นใหม่ต่อที่เป็นผู้ใหญ่
[แก้] การแต่งงาน
การแต่งงานของซามูไรจะถูกจัดขึ้นมาโดยผู้ที่แต่งงานแล้วและมียศศักดิ์เท่ากับหรือเหนือว่าซามูไรผู้เป็นเจ้าบ่าวเท่านั้น (นี่เป็นพิธีสำคัญสำหรับซามูไรที่มียศศักดิ์ต่ำกว่า และเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับซามูไรที่มียศศักดิ์สูงกว่า) ซามูไรส่วนมากมักจะแต่งงานกับผู้หญิงที่มาจากตระกูลซามูไรเหมือนกัน แต่สำหรับซามูไรที่มียศต่ำลงมา การแต่งงานกับหญิงสามัญชนถือเป็นเรื่องที่อนุโลมได้ ส่วนเรื่องของสินสมรส (สินเดิม) ฝ่ายเจ้าสาวจะเป็นผู้ที่นำมาให้เอง เพื่อใช้เริ่มต้นชีวิตใหม่ของพวกเขา
ก่อนการแต่งงาน ซามูไรจะส่งค่าสินสอดหรือเอกสารยกเว้นการเก็บภาษีไปให้กับครอบครัวของฝ่ายหญิงผ่านทางผู้ส่งข่าว เพื่อที่จะขออนุญาตบิดาและมารดาแต่งงานกับฝ่ายหญิง ซึ่งบิดามารดาส่วนใหญ่ก็ยอมรับข้อเสนอด้วยความยินดี พ่อค้าฐานะดีหลายคนส่งลูกสาวของพวกเขาไปแต่งงานกับซามูไรเพื่อจะได้หักลบหนี้สินของซามูไรและจะได้ทำให้ตำแหน่งหน้าที่ของตนก้าวหน้าขึ้น
ถ้าหากว่าภรรยาของซามูไรให้กำเนิดบุตรชาย บุตรชายผู้นั้นก็สามารถที่จะเป็นซามูไรได้
ซามูไรสามารถมีภรรยาน้อยได้ แต่พื้นหลังชีวิตของผู้ที่จะมาเป็นภรรยาน้อยจะต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยซามูไรระดับสูงเหมือนที่ทำในการแต่งงานจริง การลักพาตัวภรรยาน้อยถือว่าเป็นการกระทำที่น่าละอาย ถึงแม้ว่าการกระทำเช่นนี้ในนิยายหลาย ๆ เรื่องจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปก็ตาม
ซามูไรสามารถหย่าขาดจากภรรยาของเขาได้ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง แต่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้มีตำแหน่งสูงกว่าก่อน ซึ่งในความเป็นจริงการหย่าของซามูไรเกิดขึ้นมาน้อยมาก เหตุผลในการหย่าอาจจะเป็นเพราะว่า ภรรยาของเขาไม่สามารถให้บุตรชายแก่เขาได้ แต่วิธีการรับเด็กชายมาเลี้ยงก็สามารถใช้เป็นแนวทางแทนการหย่าได้เช่นกัน ซามูไรสามารถหย่าโดยใช้เหตุผลส่วนตัวที่ว่าเขาไม่ชอบภรรยาของเขาได้ แต่โดยทั่วไปเหตุผลนี้มักจะไม่ยกมาอ้างกัน เพราะมันจะสร้างความอับอายให้แก่ซามูไรระดับสูงที่จัดการแต่งงานให้ได้ แต่แม้ว่าโดยทั่วไปผู้ที่เป็นฝ่ายหย่าก่อนจะเป็นฝ่ายของซามูไร ฝ่ายหญิงก็สามารถเป็นฝ่ายที่เริ่มการหย่าก่อนได้เหมือนกัน หลังจากการหย่าแล้ว ฝ่ายซามูไรจะได้รับเงินค่าสินสอด ซึ่งมีไว้ป้องกันการหย่า กลับคืนมา
ภรรยาของซามูไรที่ไม่ซื่อสัตย์แล้วปฏิเสธในความผิดของเธอ จะได้รับอนุญาตให้ทำการจิไง (การคว้านท้องฆ่าตัวตาย (เซ็ปปุกุ) ของผู้ชาย)
[แก้] ปรัชญา
หลักปรัชญาของศาสนาพุทธและลัทธิเซน บวกกับบางส่วนของลัทธิขงจื๊อ มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมซามูไรได้ดีพอ ๆ กับลัทธิชินโต
ลัทธิเซนได้กลายเป็นหลักคำสอนสำคัญในเรื่องของวิธีการที่ทำให้จิตสงบ
ฐานคติของพุทธในเรื่องการกลับชาติมาเกิด ก็นำซามูไรไปสู่การละเลิกการทรมานและการฆ่าฟันอย่างไร้เหตุผล ฐานคตินี้มีอิทธิพลมากจนซามูไรบางคนถึงกับยอมเลิกใช้ความรุนแรง และบวชเป็นพระสงฆ์หลังจากที่ตระหนักว่าการฆ่าฟันไม่ได้ส่งผลดีอย่างไร ขณะที่ซามูไรบางคนตระหนักถึงเรื่องเช่นนี้ได้ตอนที่อยูในสมรภูมิจริง จนเป็นเหตุให้เขาต้องถูกฆ่าตาย ณ ที่นั้นก็มี
ส่วนบทบาทของลัทธิขงจื๊อที่มีผลต่อวัฒนธรรมซามูไรก็คือ การเน้นความสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้ปกครองให้ได้ ซึ่งนี่คือความจงรักภักดีที่ซามูไรต้องการจะแสดงต่อเจ้านายของเขา
บูชิโดคือ “ประมวลหลักการปฏิบัติ” ที่ติดตัวซามูไรทุก ๆ คน หลักนี้เริ่มบังคับใช้ในสมัยเอโดะ โดยคณะการปกครองของโชกุนโทกึงาวะ เพื่อพวกเขาจะได้ควบคุมเหล่าซามูไรได้ง่ายขึ้น
แต่เหตุการณ์ของ “กลุ่มโรนิงทั้ง 47” ก็ทำให้เกิดการโต้เถียงกันเกี่ยวกับประเด็นความถูกต้องของหลักปฏิบัติของซามูไร และประเด็นที่ว่าหลักบูชิโดควรจะประยุกต์ใช้ได้อย่างไร เนื่องจากซามูไรซึ่งกลายเป็นโรนิงทั้ง 47 คนนี้ไม่ได้ให้ความเคารพต่อโชกุนซึ่งเป็นผู้ปกครองของพวกเขา แต่ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะความภักดีและความซื่อสัตย์ที่มีต่อนายเก่าของพวกเขาเอง ผลสุดท้าย การกระทำของพวกเขาถูกตัดสินว่าเป็นการกระทำที่แสดงออกถึงความซื่อสัตย์ แต่ไม่เป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีต่อโชกุน นี่จึงเป็นเหตุให้พวกเขาทั้ง 47 คนต้องถูกฆาตกรรมด้วยการสำนึกผิดและสิทธิในการคว้านท้องฆ่าตัวตาย
[แก้] ผู้หญิง
หน้าที่ของผู้หญิงในฐานะภรรยาของซามูไรคือ แม่บ้าน บทบาทนี้สำคัญมากในยุคศักดินาของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่นักรบผู้เป็นสามีมักจะเดินทางไปดินแดนอื่น หรือไปทำสงครามร่วมกับสังกัดของตนเอง ภรรยา หรือ “โอกึซัง” (แปลว่า ผู้ที่อยู่แต่ในบ้าน) จะเป็นผู้ที่จัดการกิจธุระทุกอย่างของครอบครัว ดูแลลูก ๆ และบางโอกาสยังต้องป้องกันบ้านจากการรุกรานด้วย ภรรยาของชนชั้นซามูไรหลาย ๆ คนต้องฝึกฝนการใช้ง้าว หรือที่เรียกว่านางินาตะ มือเดียวให้ได้ เพื่อจะได้สามารถปกป้องคนในครอบครัว บ้าน และเกียรติยศเอาไว้
ลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนใครของผู้ที่เป็นภรรยาซามูไรคือ ถ่อมตัว เชื่อฟัง ควบคุมตนเอง และจงรักภักดี ภรรยาในอุดมคติของซามูไรจะต้องมีทักษะในการจัดการกับทรัพย์สิน หมั่นจดบันทึก ดูแลการเงิน ให้การศึกษาแก่ลูก ๆ (และบางทีก็ต้องให้การศึกษาแก่ผู้รับใช้ด้วย) และบำรุงบิดามารดายามแก่เฒ่าทั้งของตนและของสามี ซึ่งอาจจะอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน กฎของขงจื๊อได้ช่วยนิยามความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและประมวลรวมหลักจรรยาของชนชั้นนักรบในเรื่องนี้ไว้ว่า ภรรยาจะต้องแสดงความเคารพอย่างสูงแก่สามี ต้องกตัญญูและบูชาบิดามารดา และต้องดูแลเอาใจใส่แก่ลูก ๆ แต่ถ้าให้ความรักต่อลูกมากจนเกินไป ก็จะทำให้ลูกเป็นผู้ที่เอาแต่ใจตนเองได้ ดังนั้น ผู้เป็นแม่จึงต้องฝึกให้ลูกมีวินัยควบคู่ไปด้วย
แม้ว่าภรรยาของตระกูลซามูไรที่มั่งคั่งจะได้เสวยสุขจากทรัพย์สินเงินทองและตำแหน่งอันเลิศหรูในสังคม และยังมีสิทธิหลีกเลี่ยงการถูกใช้แรงงานทางกายด้วยก็ตาม พวกเธอก็ยังมีสถานะทางสังคมที่ต่ำกว่าเพศชายอยู่หลายระดับ ผู้หญิงจะถูกห้ามไม่ให้ข้องเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมือง และโดยมากก็จะไม่ได้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าของครอบครัวด้วย
เมื่อการศึกษาเริ่มมีคุณค่ามากขึ้นในยุคของโทกึงาวะ ผู้หญิงที่ได้รับการศึกษาตั้งแต่เด็กจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับครอบครัวและสังคมโดยรวม หลักเกณฑ์ในการเลือกสตรีมาแต่งงานด้วยจึงเริ่มถ่ายน้ำหนักไปที่ความฉลาดและระดับการศึกษา บวกกับความดึงดูดใจทางกายภาพของผู้ที่จะมาเป็นภรรยามากขึ้น ทำให้นอกจากจะต้องมีทักษะของการเป็นภรรยาและผู้จัดการครอบครัวที่ดี ผู้หญิงในยุคนั้นยังต้องพบกับความท้าทายในการเรียนการอ่านภาษาจีน และยังจะต้องมีความรู้ในวิชาทางด้านปรัชญาและอักษรศาสตร์เบื้องต้นอีกด้วย เพราะฉะนั้น จนถึงสิ้นสุดยุคโทกึงาวะ ภรรยาของซามูไรเกือบทุกคนจึงสามารถอ่านออกเขียนได้หมด
[แก้] อาวุธ
อาวุธที่ซามูไรใช้มีอยู่หลายชนิด แต่ดาบคาตานะก็ไม่ได้เป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของซามูไร เพราะว่าซามูไรไม่สามารถนำ คาตานะ ติดตัวเข้าไปในบางสถานที่ได้ วากิซาชิ คือ อาวุธติดตัวซามูไรที่สำคัญที่สุด หลักบูชิโดได้สอนว่าจิตวิญญาณของซามูไรก็คือคาตานะของพวกเขาแต่ละคน และบางครั้ง ซามูไรก็ถูกจินตานาการให้ต้องพึ่งพาคาตานะเพื่อการต่อสู้ด้วย แนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับหน้าไม้ของยุโรป หรือดาบของอัศวินที่ส่วนใหญ่ใช้เป็นแค่เครื่องมือในการต่อสู้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ดาบคาตานะมักจะไม่ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธในสมรภูมิกัน จนกระทั่งยุคของคามากึระ (พ.ศ. 1728 – พ.ศ. 1876) ตัวดาบคาตานะเองก็ยังไม่ได้เป็นอาวุธหลักจนกระทั่งเกิดยุคเอโดะขึ้นมา
หลังจากที่บุตรชายของซามูไรได้ถือกำเนิดขึ้น เขาจะได้รับดาบเล่มแรกของเขาในพิธีฉลองที่เรียกว่า มาโมริ-กาตานะ อย่างไรก็ตาม ดาบที่ให้ไปเป็นเพียงแค่ดาบเครื่องรางเท่านั้น โดยจะห่อหุ้มด้วยไหมยกดอกเงินหรือทองเพื่อที่จะให้เด็กอายุไม่เกินห้าขวบพกเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์ได้ เมื่อถึงอายุสิบสามปี ในพิธีฉลองที่เรียกว่า เก็มบุกุ (「元服」 Gembuku?) บุตรชายจะได้รับดาบจริงเล่มแรกพร้อมกับชุดเกราะ ชื่อในวัยผู้ใหญ่ และกลายเป็นซามูไรในที่สุด ดาบคาตานะและวากิซาชิเมื่อใช้ร่วมกันแล้วจะเรียกว่าไดโชะ (แปลตามตัวอักษรว่า “ใหญ่กับเล็ก”)
วากิซาชิ คือ “ดาบแห่งเกียรติยศ” ของซามูไร ซามูไรจะไม่ยอมให้มันหลุดจากข้างกายโดยเด็ดขาด มันจะต้องติดตัวพวกเขาไปตอนที่พวกเขาเข้าบ้านคนอื่น (แต่ต้องทิ้งอาวุธหลักเอาไว้ข้างนอก) ยามนอนก็ต้องมีมันอยู่ใต้หมอนด้วย
ทันโตะ คือ ดาบสั้นเล่มเล็กที่มักจะใส่คู่กับวากิซาชิในไดโชะ ทันโตะหรือไม่ก็วากิซาชินี่เองที่จะถูกนำมาใช้ในพิธีกรรมการฆ่าตัวตาย หรือที่เรียกว่าเซ็ปปุกุ
นอกจากดาบ ซามูไรยังเน้นการฝึกทักษะในการใช้ยูมิ (ธนูยาว) เพื่อสะท้อนศิลปะแห่งคิวโดะ (แปลตามตัวอักษรว่า วิถีแห่งธนู) อีกด้วย ในช่วงยุคเซ็งโงกุ จิได ธนูยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับทหารชาวญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าในช่วงนั้นพวกเขาจะรู้จักกับอาวุธปืนกันแล้วก็ตาม ยุมิเป็นธนูที่มีรูปร่างไม่รับส่วนกัน โดยประกอบขึ้นมาจากไม้ไผ่ ไม้ และหนัง ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับธนูแบบประกอบขึ้นเหมือนกันแต่ยืดหยุ่นกว่าของชาวยูเรเซียแล้ว ความทรงพลังของยุมิยังต่ำกว่า ยุมิมีระยะการโจมตีที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพอยู่ที่ 50 เมตรหรือน้อยกว่านั้น (ระยะโจมตีเต็มที่คือ 100 เมตร) ยุมิมักจะใช้กันหลัง “เทดาเตะ” (「手盾」 tedate?) หรือกำแพงไม้ไผ่ขนาดใหญ่ที่เคลื่อนที่ได้ ส่วนธนูที่มีขนาดสั้นกว่า (ฮังกิว) มักจะใช้บนหลังม้ากัน (ต่อมา การฝึกฝนการยิงธนูบนหลังม้าได้กลายเป็นพิธีกรรมชินโตที่ชื่อ ยาบุซาเมะ (「流鏑馬」 Yabusame?))
ในศตวรรษที่ 15 ยาริ (หอก) ได้กลายเป็นอาวุธที่ได้รับความนิยมพร้อม ๆ กับนางินาตะ ยาริมักจะถูกนำมาใช้ในสมรภูมิ ที่ซึ่งการบริหารกองทหารเดินเท้าราคาถูกจำนวนมากเป็นปัจจัยที่สำคัญความกล้าหาญส่วนบุคคล การจู่โจมของทั้งทหารราบและทหารม้าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อใช้หอกแทนดาบคาตานะ และเมื่อปะทะกับซามูไรที่ใช้ดาบคาตานะเป็นอาวุธ ผู้ที่ใช้หอกก็มีมักจะได้เปรียบกว่าเสมอ
ในสมรภูมิแห่งชิซุงาตาเกะ ที่ซึ่งฝ่ายของชิบาตะ คัตสึอิเอะ แพ้ให้กับฝ่ายโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ (ต่อมารู้จักกันในนามฮาชิบะ ฮิเดโยชิ) ผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดชัยชนะครั้งนั้นก็คือมือหอกทั้งเจ็ดแห่งชิซุงาตาเกะ (「賤ヶ岳七本槍」 Shizugatake?)
ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 ปืนเล็กยาวได้เดินทางเข้ามาในญี่ปุ่นผ่านทางพ่อค้าชาวโปรตุเกส อาวุธชนิดใหม่นี้ทำให้ขุนศึกหลาย ๆ คนสามารถสร้างกองกำลังที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาจากมวลชนชาวนาได้ แต่ตัวมันก็กลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในสัยนั้น คนจำนวนมากแลเห็นว่า การที่มันเป็นอาวุธที่ใช้ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพการสังหารสูง เป็นการหมิ่นประเพณีบูชิโดอย่างไร้เกียรติยศ
โอดะ โนบุนางะ ได้ใช้ปืนเล็กยาวจำนวนมากในสงครามแห่งนางาชิโนะ เมื่อปีพ.ศ. 2118 จนนำไปสู่การสูญสิ้นของตระกูลทาเกดะในที่สุด
หลังจากที่ชาวโปรตุเกสและชาวฮอลแลนด์ได้นำปืนเล็กยาวแบบบรรจุดินปืน หรือที่เรียกกันว่าเท็ปโปะ เข้ามาในญี่ปุ่นในครั้งแรก ช่างสร้างปืนชาวญี่ปุ่นก็ได้ผลิตมันออกมาเองในปริมาณมาก จนกระทั่งสิ้นสุดศตวรรษที่ 16 จำนวนปืนในญี่ปุ่นก็เพิ่มขึ้นมามากกว่าประเทศใด ๆ ในทวีปยุโรป ปืนทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตและสะท้อนถึงความมีฝีมือของช่างที่สร้างได้เป็นอย่างดี
เมื่อมาถึงสมัยการปกครองโดยโชกุนโทกึงาวะ และการสิ้นสุดลงของสงครามการเมือง ยอดการผลิตปืนก็ลดลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับการออกคำสั่งห้ามไม่ให้ถือครองเป็นเจ้าของอาวุธปืน ในสมัยการปกครองนี้ อาวุธที่มีพื้นฐานมาจากหอกได้ถูกเลิกใช้ไปบางส่วน เนื่องจากอาวุธเหล่านี้มีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการต่อสู้ระยะประชิด (ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในสมัยเอโดะ) น้อย ส่วนกฎข้อห้ามเกี่ยวกับปืนที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ก็มีผลให้ไดโชะเป็นอาวุธชนิดเดียวเท่านั้นที่ซามูไรสามารถพกพาได้
ส่วนอาวุธอื่น ๆ ที่ซามูไรนำมาใช้เป็นอาวุธก็ได้แก่ ไม้พลอง (โจะ), กระบองยาว (โบะ), ระเบิดมือ, เครื่องยิงหินแบบจีน (มักจะใช้ในการจู่โจมตัวบุคคลมากกว่าใช้เพื่อการล้อมโจมตี) และปืนใหญ่ (เป็นอาวุธที่มีค่าใช้จ่ายสูง นาน ๆ จะใช้สักครั้งหนึ่ง)
[แก้] นิรุกติศาสตร์ของคำว่า “ซามูไร” และคำอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
คำว่า ซามูไร ซึ่งถูกเขียนด้วยอักษรจีน (หรือคันจิ) มีความหมายที่แท้จริงว่า “ผู้ที่ให้การรับใช้อย่างใกล้ชิดแก่เหล่าขุนนาง หรือผู้ที่มีตำแหน่งสูง” ในช่วงก่อนยุคเฮอัง ชาวญี่ปุ่นเรียกคำนี้ว่า ซาบูราปิ ต่อมาก็เปลี่ยนมาเรียกว่า ซาบูไร จนกระทั่งยุคเอโดะ ถึงจะเรียกว่า ซามูไร เหมือนในปัจจุบัน
ในงานวรรณกรรมของญี่ปุ่น ช่วงต้นศตวรรษที่ 10 ที่ชื่อโคกินชึ (「古今集」 Kokinshu?) ก็ได้มีการอ้างอิงถึง ซามูไร ไว้ว่า:
-
- "ให้การรับใช้แก่ขุนนางของท่าน
- ถามหาร่มของเจ้านายท่าน
- เหล่าน้ำค้างใต้ต้นมิยางิโนะ
- ย่อมหนากว่าฝน"
- (บทกลอน 1091)
คำว่า บุชิ หรือ บูชิ (อ่านแบบญี่ปุ่นจะออกว่า บุ๊ฉิ) (「武士」 bushi?) (แปลตามตัวอักษรว่า “นักรบ หรือ ทหาร”) ปรากฏขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่เรียกว่า โชกึ นิฮงงิ (「続日本記」 Shoku Nihongi?) (พ.ศ. 1340) คำว่า “บึชิ” มีรากฐานมาจากภาษาจีน ต่อมาได้ถูกนำมาเพิ่มไว้ในภาษาญี่ปุ่นดั้งเดิมสำหรับคำว่า นักรบ: สึวาโมโนะ และ โมโนโนฟึ คำว่า "บูชิ" และคำว่า "ซามูไร” ได้กลายมาเป็นความหมายเดียวกันในช่วงใกล้จะสิ้นสุดศตวรรษที่ 12
ในหนังสือชื่อ ไอดีลส์ ออฟ เดอะ ซามูไร—ไรติงส์ ออฟ เจแปนนิส วอรริเออรส์ ของวิลเลียม สกอทท์ วิลสัน ที่ได้รวบรวมงานสำรวจเกี่ยวกับรากเง้าของคำว่า นักรบ ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ได้กล่าวไว้ว่า คำว่า บูชิ ที่จริงแล้วสามารถแปลออกมาได้ว่า “ชายผู้ที่มีความสามารถในการรักษาสันติภาพ โดยใช้วิธีทางวรรณกรรณหรือวิธีทางการทหารก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้วิธีหลังกันมากกว่า”
เมื่อมาถึงตอนต้นยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่น โดยเฉพาะยุคอาซึจิ-โมโมยามะ และต้นยุคเอโดะ เมื่อปลายศตวรรษที่ 16 และต้นศตวรรษที่ 17 ความหมายของคำว่า ซามูไร (ซึ่งนำมาใช้แทนคำว่า ซาบูไร ในตอนนั้น) ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
ในช่วงยุคสมัยแห่งกฎของซามูไร คำว่า ยุมิโตะริ (「弓取」 Yumitori?) ที่จริง ๆ แล้วแปลว่า “มือธนู” ได้ถูกนำมาใช้เป็นชื่อตำแหน่งอันทรงเกียรติสำหรับนักรบที่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้ว่าในขณะนั้น ทักษะการใช้ดาบจะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่าทักษะการใช้ธนูก็ตาม (เชื่อกันว่านักแม่นธนูของญี่ปุ่น (คิวญึตสึ) มีสายสัมพันธ์ที่แข็งแรงและมั่นคงกับเทพเจ้าแห่งสงครามฮาจิมัง)
ซามูไรที่ไม่มีความสัมพันธ์กับตระกูลหรือไดเมียว (「大名」 daimyo?) คนใดเลย จะถูกเรียกว่า โรนิง (「浪人」 rōnin?) ในภาษาญี่ปุ่น โรนิง มีความหมายว่า “มนุษย์คลื่น” หรือผู้ที่มีอนาคตอยู่ที่การเร่ร่อนอย่างไร้จุดหมายไปตลอดกาลเหมือนกับคลื่นในทะเล คำ ๆ นี้หมายถึงซามูไรที่ไม่ได้รับใช้เจ้านายของเขาอีกแล้ว เนื่องจากเจ้านายของเขาถึงแก่กรรม หรือเป็นเพราะตัวซามูไรเองถูกเนรเทศออกจากกลุ่ม หรืออาจจะเป็นเพราะซามูไรผู้นั้นเลือกที่จะเป็นโรนิงเองก็ได้
ค่าใช้จ่ายของซามูไรวัดเป็นข้าวทีละ 1 โคกึ (หรือประมาณ 180 ลิตร ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอที่จะใช้ยังชีพคนหนึ่งคนเป็นเวลาหนึ่งปี) ซามูไรที่อยู่ในการรับใช้ของฮังจะถูกเรียกวา ฮันชิ
นอกจากคำทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ก็ยังมีคำอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับประเพณีซามูไรอีก ซึ่งได้แก่:
- อึรึวาชี
นักรบที่มีความสนใจในศิลปะ ซึ่งถูกนำมาทำเป็นสัญลักษณ์ตัวอักษรคันจิที่อ่านว่า “บึง” (การศึกษาทางด้านการอักษร) และ “บึ” (การศึกษาด้านการทหารและศิลปะ)
- บุเกะ (「武家」 buke?)
องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการทำสงคราม หรือสมาชิกที่อยู่ในองค์กรดังกล่าว
- โมโนโนฟุ (「もののふ」 mononofu?)
เป็นคำโบราณที่แปลว่านักรบ
- มุชะ (「武者」 musha?)
คำที่ย่อมาจากคำว่า บึเงชะ (「武芸者」 bugeisha?) ซึ่งแปลตามตัวอักษรว่า มนุษย์ผู้มีศิลปะแห่งสงคราม หรือมนุษย์ผู้มีศิลปะการต่อสู้
- ชิ (「士」 shi?)
มีความหมายในทำนองว่า “สุภาพบุรุษ” คำ ๆ นี้ถูกใช้สำหรับซามูไรอย่างเช่นในคำว่า บึชิ (「武士」 bushi?) ซึ่งแปลว่า นักรบ หรือ ซามูไร เป็นต้น
- สึวะโมโนะ (「兵」 Tsuwamono?)
เป็นคำโบราณที่กล่าวถึงทหาร คนส่วนใหญ่รู้จักคำนี้จากบทกวีไฮกึที่โด่งดังของมัตสึโอะ บาโชะ ถ้าแปลตามตัวอักษร คำนี้มีความหมายว่าคนแข็งแรง
"นัตสึกึซะ ยะ สึวาโมโนะ โดโมะ กะ ยึเมะ โนะ อาโตะ" (มัตสึโอะ บาโชะ) |
"เหล่ากอหญ้าฤดูร้อน ทั้งหมดที่ยังคง ความฝันของเหล่าทหาร" (แปลโดย Lucien Stryk) |
[แก้] ซามูไรในวัฒนธรรมสมัยนิยม
[แก้] ละครโทรทัศน์
ในทุกวันนี้ จิไดเงกิ (หรือละครอิงประวัติศาสตร์) ก็ยังคงเป็นรายการหลักที่ฉายในโรงภาพยนตร์และโทรทัศน์ของญี่ปุ่นอยู่ รายการประเภทนี้มักจะมีเนื้อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับซามูไร รวมไปถึงเค็นญึตสึ ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับเหล่าพ่อค้าและซามูไรคนอื่น ๆ ที่ชั่วร้าย
มิโตะ โคมง (「水戸黄門」 Mito Komon?) เป็นตัวอย่างของละครชุดทางโทรทัศน์แนวจิไดเงกิ ที่โด่งดังเรื่องหนึ่งของญี่ปุ่น เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางของโทกึงาวะ มิตสึกึนิ ที่ปลอมตัวเป็นพ่อค้าเศรษฐีเก่า พร้อมด้วยซามูไรไร้อาวุธอีกสองคนที่ปลอมตัวเป็นผู้ติดตามของเขา เขาจะต้องพบกับปัญหาในทุก ๆ ที่ที่เขาไป และเขาจะต้องเป็นผู้แก้ปัญหาและรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ หลังจากได้หลักฐานครบถ้วน เขาจะให้ซามูไรของเขาเข้าไปปราบซามูไรและพ่อค้าที่เป็นคนร้ายอย่างเลือดเย็น ก่อนที่จะเปิดเผยอัตลักษณ์ที่แท้จริงของเขาออกมา สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำในเรื่องนี้คือ เหล่าร้ายที่มิตสึกึนิสามารถเข้าไปฆ่าล้างตระกูลได้ มักจะออกมายอมแพ้เสียก่อน เพื่อหวังว่าการลงโทษของเขาจะไม่ลามไปถึงสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ ด้วย
ละครชุดทางโทรทัศน์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับซามูไรอีกเรื่องหนึ่งคือ อาบาเร็มโบะ โชงึง ละครเรื่องนี้ประกอบไปด้วยตัวละครที่เป็นซามูไรทุกระดับชั้นไล่ตั้งแต่โชกุนลงมาถึงซามูไรระดับล่างที่สุด รวมไปถึงโรนิง ที่ถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญของเรื่องนี้ด้วย
[แก้] ภาพยนตร์
งานภาพยนตร์แนวซามูไรของผู้กำกับอากิระ คุโรซาวะ ได้สร้างความรุ่งเรืองให้กับงานบันเทิงประเภทนี้อย่างมาก เทคนิคและวิธีการเล่าเรื่องในงานของเขาได้ส่งอิทธิพลไปสู่นักสร้างภาพยนตร์หลาย ๆ คนทั่วโลก ผลงานที่สร้างชื่อของเขาได้แก่
- เดอะ เซเว็น ซามูไร (เจ็ดเซียนซามูไร) เรื่องของหมู่บ้านเกษตรกรรมหมู่บ้านหนึ่งที่ได้ว่าจ้างซามูไรพเนจรกลุ่มหนึ่งเพื่อมาปกป้องพวกตนจากโจรป่า
- โยญิมโบ หนังที่เล่าเรื่องราวของอดีตซามูไรคนหนึ่งที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างกลุ่มอิทธิพลสองกลุ่มที่อยู่ในเมืองเดียวกัน ด้วยการเข้าไปทำงานรับใช้ทั้งสองฝ่าย
- และ เดอะ ฮิดเด็น ฟอร์เทรซ ภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับชาวนาผู้โง่เขลาสองคนที่เข้าไปช่วยนายพลผู้เป็นตำนานคนหนึ่งในการอารักขาเจ้าหญิง
ในช่วงนั้น ภาพยนตร์แนวซามูไรและภาพยนตร์สไตล์ตะวันตกต่างก็แบ่งปันบางสิ่งที่คล้ายคลึงกันให้แก่กัน และยังส่งอิทธิพลต่อกันเป็นเวลาหลายปี จะเห็นได้จากผลงานของผู้กำกับคุโรซาวะหลายเรื่องก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานของผู้กำกับชาวอเมริกันที่ชื่อจอห์น ฟอร์ด ในทางกลับกัน ผู้กำกับชาวตะวันตกหลายคนก็นำผลงานของคุโรซาวะไปสร้างใหม่เป็นภาพยนตร์แนวตะวันตกด้วย ตัวอย่างเช่น เดอะ เซเว็น ซามูไร ก็ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง เดอะ แม็กนิฟิเซ็นท์ เซเว็น (7 สิงห์แดนเสือ) ส่วน โยญิมโบ ก็ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง อะ ฟิสท์ฟูล ออฟ ดอลลารส์ เป็นต้น
ส่วนเรื่องเดอะ ฮิดเด็น ฟอร์เทรซ ก็ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้ผู้กำกับจอร์จ ลูคัส นำเนื้อเรื่องไปดัดแปลงและสร้างเป็นภาพยนตร์อวกาศระดับตำนานอย่าง สตาร์ วอรส์ ขึ้นมา และนอกจากนั้นเขายังได้หยิบยืมเอาลักษณะเฉพาะที่สำคัญหลาย ๆ อย่างของซามูไรมาใช้เป็นแรงบันดาลใจเบื้องต้นในการสร้างตัวละครอัศวินเจไดด้วย
นอกจากการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ตะวันตกแล้ว ยังมีอานิเมะที่ดัดแปลงมาจากเดอะ เซเว็น ซามูไร ด้วย โดยใช้ชื่อว่า ซามูไร 7 อานิเมะเรื่องนี้ได้ขยายเนื้อเรื่องออกเป็นตอนต่าง ๆ หลายตอน
แต่อย่างไรก็ตาม ฐานคติเกี่ยวกับซามูไรที่สื่อออกมาผ่านภาพยนตร์ ในฐานะที่มีความแตกต่างกับอัศวินของยุโรป ได้นำไปสู่ช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างนักรบหรือวีรบุรุษของญี่ปุ่นกับของส่วนอื่น ๆ ในโลก เนื่องจากซามูไรนั้น ไม่จำเป็นจะต้องสูงหรือมีกล้ามเป็นมัดเพื่อให้ดูแข็งแรง พวกเขาสามารถที่จะเป็นซามูไรทั้งที่มีความสูงเพียง 150 เซนติเมตร หรืออ่อนแอ หรือว่าพิการก็ได้ เรื่องของขนาดและพลังจึงไม่ใช่ปัจจัยทางด้านความงามที่ยั่วยวนใจชาวญี่ปุ่นเท่าไรนัก ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายที่สุด สามารถพบได้ในเรื่อง ซาโตอิจิ (ไอ้บอดซามูไร) ซามูไรตาบอดผู้มีฝีมือ ซึ่งถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์และภาพยนตร์ทางจอเงินอยู่หลายตอน
ในยุคต่อมา เป็นที่สังเกตได้ว่าภาพยนตร์แนวซามูไร หรือที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของซามูไร เริ่มที่จะปรากฏตัวในวงการภาพยนตร์ของฮอลีวูดมากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดได้แก่
- เดอะ ลาสท์ ซามูไร (มหาบุรุษซามูไร) เป็นภาพยนตร์มีเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงเวลาแห่งการสิ้นสลายของชนชั้นซามูไรในญี่ปุ่น เนื้อเรื่องเป็นการผสมรวมระหว่างประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงและเรื่องราวที่ถูกแต่งขึ้น ออกฉายครั้งแรกในปีพ.ศ. 2546 และได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากผู้ชมในแถบทวีปอเมริกาเหนือ โครงเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้มีพื้นฐานที่แตะมาจากเหตุการณ์ของกลุ่มกบฏซัตสึมะ ในปีพ.ศ. 2420 โดยการนำของไซโงะ ทากาโมริ และเรื่องราวของร้อยเอก Jules Brunet ทหารชาวฝรั่งเศสที่ไปร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเอโนโมโตะ ทาเกอากิ ในสงครามโบชิง ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นถึงวิถีการดำเนินชีวิตและกลยุทธ์ต่าง ๆ ในการทำสงครามของซามูไร โดยมีสื่อกลางคือผู้กองเนธาน อัลเกร็น ทหารชาวอเมริกันที่ถูกกลุ่มซามูไรกลุ่มสุดท้ายในญี่ปุ่นจับตัวไปเป็นเชลย
- โกสท์ ด็อก: เดอะ เวย์ ออฟ เดอะ ซามูไร (โกสต์ด็อก ดับนรกเส้นทางซามูไร) เป็นเรื่องราวของนักฆ่าผิวดำในสังคมอเมริการ่วมสมัย ผู้ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากตำราฮางากุเระ (ตำราญี่ปุ่นว่าด้วยหลักปฏิบัติของซามูไร) นำแสดงโดยฟอเรสท์ วิทเทคเกอร์ เพลงประกอบภาพยนตร์ในเรื่องนี้เป็นเพลงแนวฮิพฮ็อพที่ทันสมัย สร้างอารมณ์ที่ขัดแย้งกับความเก่าแก่ของตำราฮางากึเระซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของเรื่องนี้ได้อย่างมาก
- คิล บิล (นางฟ้าซามูไร) ของผู้กำกับเคว็นติน ทาแรนติโน ก็เป็นภาพยนตร์ฮอลีวูดอีกเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับซามูไร โดยเฉพาะในด้านของอาวุธที่ซามูไรใช้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนที่ออกมายกย่องเกียรติศักดิ์ของดาบคาตานะเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ตัวภาพยนตร์เองก็ไม่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของซามูไรจริง ๆ มากเท่าที่ควร แรงบันดาลใจเบื้องต้นของภาพยนตร์เรื่องนี้จะมาจากอานิเมะหรือการ์ตูนญี่ปุ่นมากกว่า
- เช่นกันกับเรื่อง ซามูไร แวมไพร์ ไบเกอรส์ ฟรอม เฮล ภาพยนตร์แนวคัลท์ต้นทุนต่ำที่เนื้อเรื่องมีการบิดเบือนวัฒนธรรมแท้จริงของซามูไร ทางผู้สร้างได้พยายามทำให้ตัวละครหลักของเรื่องมีภาพของความเป็นทายาทในตระกูลซามูไรอย่างเต็มที่ แต่อย่างไรก็ตาม ตัวภาพยนตร์ที่แท้จริงกลับไปเหมือนเนื้อเรื่องในการ์ตูนญี่ปุ่นหรือในหนังสือการ์ตูนช่วงปลายยุคศตวรรษที่ 12 มากกว่า
[แก้] วรรณกรรม
โชกุน ถือเป็นตัวอย่างวรรณกรรมซามูไรที่เป็นที่รู้จักในระดับสากลมากที่สุดชิ้นหนึ่ง ผลงานชิ้นนี้คือนวนิยายเรื่องแรกในงานชุดเอเชียน ซากา ของเจมส์ คลาเวลล์ (ถูกนำมาแปลเป็นภาษาไทยโดย ธนิต ธรรมสุคติ) นวนิยายเรื่องนี้มีท้องเรื่องอยู่ในช่วงปีพ.ศ. 2143 ซึ่งเป็นเวลาที่ญี่ปุ่นถูกปกครองด้วยระบบศักดินา เนื้อเรื่องของวรรณกรรมชิ้นนี้เกี่ยวข้องกับการรุ่งโรจน์ของโทกึงาวะ อิเอยาซึ จนสามารถตั้งคณะการปกครองในระบอบโชกุนของตนเองได้ เรื่องราวทั้งหมดในนวนิยายเรื่องนี้จะถูกเล่าผ่านสายตาของทหารชาวอังกฤษคนหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวละครที่มีพื้นฐานอย่างหลวม ๆ มาจากวิลเลียม อดัมส์ ชาวตะวันตกที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซามูไร (ดูข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบุคคลผู้นี้ได้ในหัวข้อ ซามูไรชาวตะวันตก) เนื้อหาส่วนใหญ่ของนวนิยายชิ้นนี้ได้ถูกแต่งขึ้นมาใหม่โดยผู้เขียนเอง
[แก้] การ์ตูน
นอกจากวรรณกรรม ซามูไรยังได้ปรากฏตัวบนหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่น (มังงะ) และภาพยนตร์การ์ตูน (อานิเมะ) อยู่บ่อยครั้ง โดยการ์ตูนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีเนื้อเรื่องอิงประวัติศาสตร์ และตัวละครหลักก็มักจะเป็นซามูไรหรืออดีตซามูไร (หรือผู้ที่มีลำดับขั้นหรือตำแหน่งที่ต่างไปจากนั้น) ที่มีทักษะวิชาทางการสู้รบสูง โดยตัวอย่างของการ์ตูนญี่ปุ่นแนวนี้ที่ถือว่าโด่งดังที่สุดก็ได้แก่เรื่อง โลน วูล์ฟ แอนด์ คับ และ รึโรวนิ เค็นชิง
โลน วูล์ฟ แอนด์ คับ (ซามูไรพ่อลูกอ่อน) เป็นการ์ตูนที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตตัวแทนเพชรฆาตของโชกุน กับลูกน้อยของเขาอีกหนึ่งคน ที่ต้องกลายมาเป็นนักฆ่ารับจ้าง หลังจากที่ถูกกลุ่มชนชั้นสูงและซามูไรคนอื่น ๆ ร่วมกันทรยศ ส่วน รึโรวนิ เค็นชิง (ซามูไรพเนจร) เป็นเรื่องราวของอดีตนักฆ่า ผู้มีส่วนช่วยให้เกิดการสิ้นยุคบากึมัตสึจนนำไปสู่การเกิดขึ้นของยุคเมจิ เขาต้องมาปกป้องเพื่อนใหม่หลาย ๆ คน และต้องต่อสู่ขับไล่ศัตรูเก่าของเขาเอง โดยที่จะต้องรักษาคำสาบานที่เขาให้ไว้ก่อนหน้านั้นด้วยว่าเขาจะต้องไม่สังหารชีวิตใครอีก การ์ตูนเรื่องดังกล่าวนี้ยังได้นำเอามาสร้างในรูปแบบของอานิเมะอีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีการ์ตูนญี่ปุ่นอีกหลายเรื่องที่ตัวละครหลักมีลักษณะต่าง ๆ เช่น การดำรงชีวิต การฝึกฝน และการต่อสู้คล้ายกับซามูไร โดยที่ตัวเรื่องหลักก็ไม่ได้ยึดติดอยู่กับเรื่องราวในประวัติศาสตร์สมัยซามูไรเหมือนสองเรื่องข้างต้น เนื้อเรื่องที่ประกอบไปด้วยตัวละครประเภทนี้มักจะดำเนินเรื่องในบริบทเวลาปัจจุบันหรือไม่ก็อนาคต ตัวอย่างที่รู้จักกันดีน่าจะเป็นโกเอมง อิชิกาวะ รุ่นที่ 13 จากเรื่อง ลูแปง III (การ์ตูนชุดที่สร้างออกมาทั้งในรูปแบบของหนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์การ์ตูนทางโทรทัศน์ และภาพยนตร์) และมาโกโตะ อาโอะยามะ จากการ์ตูนแนวโรแมนติกคอมเมดีเรื่อง เลิฟว์ ฮินะ (บ้านพักอลเวง) เป็นต้น
ตัวละครประเภทนี้ยังมีปรากฏให้เห็นอีกในการ์ตูนเรื่องอื่น ๆ เช่นในเรื่อง เบย์เบรด (ศึกลูกข่างมหัศจรรย์) ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันเกี่ยวกับการแข่งขันลูกข่างอันล้ำสมัย ก็มีตัวละครที่ชื่อ "ญิง (จิน) จ้าวพายุ" ที่มีลักษณะผสมกันระหว่างซามูไรและนินจาอยู่ด้วย ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คืออานิเมะแนวผู้ใหญ่ที่ชื่อ ซามูไร แชมพลู การ์ตูนญี่ปุ่นที่ปรากฏโฉมครั้งแรกในปีพ.ศ. 2547 ด้วยเนื้อเรื่องในยุคเอโดะที่นำมาผสมผสานให้เข้ากับวัฒนธรรมข้างถนนสมัยใหม่และเพลงแนวฮิพฮ็อพ ก็มีตัวละครที่ชื่อ ญิง (จิน) ซึ่งเป็นอดีตซามูไรฝีมือฉมังที่ต้องกลายมาเป็นโรนิงหลังจากที่เขาได้สังหารเจ้านายของเขาเอง
ขณะที่ซามูไรกำลังมีชีวิตโลดแล่นอยู่ในการ์ตูนเรื่องต่าง ๆ ของญี่ปุ่น หนังสือการ์ตูนสัญชาติอเมริกันหลาย ๆ เรื่องก็ได้หยิบเอาลักษณะเฉพาะของซามูไรไปปรับแต่งใหม่ให้เข้ากับตัวละครของพวกเขาเองเช่นเดียวกัน ที่เห็นได้ชัดก็คือ วูล์ฟเวอรีน หนึ่งในยอดมนุษย์แห่งมาร์เวล ยูนิเวอร์ส ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 80 ก็มีความพยายามที่จะใช้อุดมการ์และฐานคติของซามูไรเกี่ยวกับวิธีการในการควบคุมความอารมณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในของเขา นอกจากนั้น ลักษณะของโรนิง หรือซามูไรที่ไร้เจ้านาย ก็ยังถูกนำไปใช้เป็นตัวละครของการ์ตูนอเมริกาบางเรื่องด้วย เช่นเรื่อง โรนิน ของแฟรงค์ มิลเลอร์ และ อึซางิ โยญิมโบ ของสแตน ซาไก
[แก้] วีดีโอเกม
ในวีดีโอเกม ตัวละครที่เป็นซามูไรมักจะเป็นตัวผู้เล่นที่เป็นพระเอกหรือไม่ก็ศัตรูที่เป็นคอมพิวเตอร์ โดยที่ตัวละครประเภทนี้จะปรากฏตัวบนเกมหลายแนวด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นอาร์พีจี วางแผนกลยุทธ์ แอ็คชัน ผจญภัย หรือต่อสู้แบบสองคน ตัวอย่างเช่น เอจ ออฟ เอ็มไพรส์ เกมแนววางแผนกลยุทธ์ชื่อดังของอเมริกา, อัลทิมา ออนไลน์: ซามูไร เอ็มไพร์ เกมแนวเอ็มเอ็มโออาร์พีจี, และ โชกุน โทเทิล วอร์ เกมวางแผนกลยุทธ์ของอังกฤษ ที่ให้ผู้เล่นได้สัมผัสกับปรัชญาสงครามของซุนวู และภาพการรบในสมรภูมิที่เหมือนจริง
ส่วนของญี่ปุ่น ก็มีเกมที่ซามูไรเป็นส่วนประกอบหลักอยู่หลาย ๆ เกม อย่างเช่น เกมแนวไซไฟธิลเลอร์ที่ชื่อ Xenosaga Episode II: Jenseits von Gut und Böse ก็มีตัวละครตัวหนึ่งชื่อว่า จิน อูซูกิ (พี่ชายของชิอง อูซูกิ) ที่ผู้สร้างได้นำเอาภาพของซามูไรมาใส่ไว้ด้วย โดยจินจะเป็นตัวละครที่มีความทะยานอยากที่จะเป็นซามูไร เวลาต่อสู้เขาก็จะใช้ดาบเพียงเล่มเดียวเป็นอาวุธ
นอกจากนั้น เกมแนวต่อสู้แบบสองคนของญี่ปุ่นบางเกมก็มีตัวละครที่เป็นซามูไรให้ผู้เล่นได้เลือกใช้ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น บิชามง จากเกม ดาร์คสตอล์เกอรส์ โซดอม จาก สตรีท ไฟเตอร์ อัลฟา และตัวละครแทบทุกตัวจากเกมชุด ซามูไร โชวดาวน์ (ในเกมนี้ ฮาโอห์มารุ และเก็นจูโร่ เป็นตัวละครที่มีความคล้ายคลึงกับซามูไรแบบดั้งเดิมมากที่สุด)
นอกจากเกมต่าง ๆ ข้างต้นแล้ว ก็ยังมีเกมอย่าง ทากาดะ ชิงเง็ง, เซ็งโงกุ มูโซว, เบรฟว์ เฟ็นเซอร์ มูซาชิ, โอนิมูชา, เวย์ ออฟ เดอะ ซามูไร, เก็นจิ และ เซเว็น ซามูไร 20XX ที่มีซามูไรเป็นตัวเอกเช่นกัน
[แก้] ดูเพิ่ม
- en:Anthony J. Bryant ข้อมูลเกี่ยวกับ แอนโทนี เจ ไบรอันท์ ในวิกิพีเดียภาษาอังกฤษ
[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น
- มติชน กรุ๊ป ข้อมูลเกี่ยวกับซามึไรในคอลัมน์ "รู้ไปโม้ด" โดยน้าชาติ ประชาชื่น
- เซ็งโงกึ ไดเมียว โฮมเพจ เว็บไซต์เกี่ยวกับนักเขียนและนักประวัติศาสตร์ทางด้านซามึไร
- ฮางากึเระ: เดอะ บุค ออฟ เดอะ ซามึไร ออนไลน์
- ซามึไร-อาร์ไควซ์ เจแปนนิส ฮิสทรี เพจ ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ซามึไร