Ebooks, Audobooks and Classical Music from Liber Liber
a b c d e f g h i j k l m n o p q r s t u v w x y z





Web - Amazon

We provide Linux to the World


We support WINRAR [What is this] - [Download .exe file(s) for Windows]

CLASSICISTRANIERI HOME PAGE - YOUTUBE CHANNEL
SITEMAP
Audiobooks by Valerio Di Stefano: Single Download - Complete Download [TAR] [WIM] [ZIP] [RAR] - Alphabetical Download  [TAR] [WIM] [ZIP] [RAR] - Download Instructions

Make a donation: IBAN: IT36M0708677020000000008016 - BIC/SWIFT:  ICRAITRRU60 - VALERIO DI STEFANO or
Privacy Policy Cookie Policy Terms and Conditions
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว - วิกิพีเดีย

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สถานีย่อย:ประเทศไทย
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ ๒ ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงได้รับพระบวรราชาภิเษกเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๙๑ เมื่อทรงมีพระชนมพรรษาได้ ๔๓ พรรษา มีพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า สมเด็จพระปวเรนทราเมศ มหิศเรศ รังสรรค์ มหรรต วรรคโชไชย มโหฬารคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ บวรจักรพรรดิราช บวรนาถบพิตร พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

สารบัญ

[แก้] พระราชประวัติ

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2351 ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 50 ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชมารดาคือ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าจุฑามณี หรือเป็นที่รู้จักอย่างดีคือ เจ้าฟ้าน้อย พระองค์ทรงเป็นพระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

[แก้] ขณะยังทรงพระเยาว์

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าจุฑามณี เป็นที่รู้จักกันในพระนามว่า เจ้าฟ้าน้อย เป็น พระราชโอรสลำดับที่ ๕๐ และเป็นพระราชกุมารลำดับที่ ๒๗ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ กับ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๑ ประสูติที่พระราชวังเดิม คลองบางกอกใหญ่ และมีคุณหญิงนก ไม่ทราบนามสกุล เป็นพระพี่เลี้ยงในสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว [1]

เมื่อมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา ได้เข้ารับราชการในรัชกาล พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ปรากฏว่ามีความชอบในราชการ และทรงได้รับการแต่งตั้งให้ทรงกรมเป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๗๕ (พระชนมายุ ๒๔ พรรษา)

นับย้อนไปในอดีตตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี สืบมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์นั้น พระเจ้าแผ่นดินมักจะทรงสถาปนาให้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่ที่เกิดจากพระอัครมเหสี เป็นพระมหาอุปราช ซึ่งจะทรงดำรงตำแหน่งเป็น พระเจ้าแผ่นดินต่อจากพระองค์ แต่บางรัชกาลก็ทรงแต่งตั้ง สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอที่มีความชอบต่อแผ่นดินขึ้นเป็น พระมหาอุปราช (เรียกในราชการว่า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า) และตามหลักฐานเท่าที่มีปรากฏใน พระราชพงศาวดารของไทยเรา การที่พระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งพระอนุชาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่สอง นั้น มีเฉพาะ สมัยกรุงศรีอยุธยา คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเอกาทศรถเท่านั้น ก่อนที่จะมาถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนา พระเจ้าน้องยาเธอไว้ในตำแหน่งพระมหาอุปราช และให้มีพระราชอิสริยยศเทียบเท่าพระเจ้าแผ่นดินนั้น มีหลายสาเหตุ แต่สาเหตุที่สำคัญเป็นเพราะพระปรีชาสามารถในหลาย ๆ ด้านของพระมหาอุปราชพระองค์นี้ที่ได้เป็นกำลังสำคัญของชาติ

ตั้งแต่เมื่อครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในกิจการที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ โดยเฉพาะพวกฝรั่งชาว ตะวันตก และพร้อมกับเป็น พระกำลังที่สำคัญยิ่งของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ทรงเข้าร่วมการเจรจาทำสัญญาทางพระราชไมตรีกับต่างประเทศ เช่น สนธิสัญญาเบาริง ซึ่งเป็นสนธิสัญญา ที่มีชื่อเสียงโด่งดังกับราชทูตประเทศอังกฤษ พระเกียรติยศชื่อเสียง ในด้านความรอบรู้ของใต้ฝ่าละอองธุลี พระบาทในภาษา หลายภาษา และในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นสูงหลายวิชา ซึ่งทรงรอบรู้ผิดไปจากคนในหมู่ชาติตะวันออกมาก ซึ่งก็ได้แพร่สะพัดถึงสหรัฐอเมริกา ด้วยทรงทราบชื่อประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาทุกคนด้วย

[แก้] พระราชอัชฌาสัย และพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชอัธยาศัยต่างจากพระเชษฐามาก เพราะฝ่ายแรกชอบสนุกเฮฮา ไม่มีพิธีรีตองอะไร ส่วนฝ่ายหลังค่อนข้างเงียบขรึม ฉะนั้นจึงมักโปรดในสิ่งที่ไม่ค่อยจะตรงกันนัก แต่ถ้าเป็นความสนิทสนมส่วนพระองค์แล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงทำอะไรก็มักนึกถึงพระราชอนุชาอยู่เสมอ เช่น คราวหนึ่งเสด็จขึ้นไปปิดทองพระพุทธรูปใหญ่วัดพนัญเชิง ก็ทรงปิดเฉพาะพระพักตร์ เว้นพระศอไว้พระราชทาน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ทรงปิดต่อ นอกจากนี้ทั้ง ๒ พระองค์ ก็ทรงล้อเลียนกันอย่างไม่ถือพระองค์ และส่วนมากพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ จะเป็นฝ่ายเย้าแหย่มากกว่า

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงพระปรีชาสามารถมาก ทรงรอบรู้งานใน ด้านต่าง ๆ มากมาย เช่น งานด้านกองทัพบก กองทัพเรือ ด้านต่างประเทศ วิชาช่างจักรกล และวิชาการปืนใหญ่ ทรงรอบรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีจนสามารถที่จะทรงเขียนโต้ตอบจดหมายเป็นภาษาอังกฤษ กับ เซอร์ จอห์น เบาริง ราชทูตอังกฤษ ที่เดินทางมาเจริญพระราชไมตรีกับประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ (ค.ศ.๑๘๕๕) ซึ่งข้อความในสนธิสัญญานั้น ถ้าเอ่ยถึง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ จะมีคำกำกับว่า The First King ส่วนพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ จะมีคำกำกับว่า The Second King สำหรับในภาษาไทยนั้น ตามสนธิสัญญา ทางไมตรีกับประเทศอังกฤษ ในบทภาค ภาษาไทยจะแปลคำว่า The First King ว่า พระเจ้าแผ่นดินสยามพระองค์เอก ส่วนคำว่า The Second King นั้นจะแปลว่า พระเจ้าประเทศสยามพระองค์ที่ ๒ พระบาทสมเด็จประปิ่นเกล้า ฯ มีพระนามปรากฏอยู่ในประกาศในอารัมภบทให้ดำเนินการเจรจาทำสนธิสัญญาฉบับนี้ด้วย ในฐานะพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๒ คู่กับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พระองค์มีสายพระเนตรที่กว้างไกล ในด้านการ ต่างประเทศ ทรงรอบรู้ข่าวสารในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นอย่างดี ทรงทราบพระราชหฤทัยดีว่า ถ้าหากทรง ดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวแล้วไซร้ ไทยเราจะเสียประโยชน์ ส่วนบรรดาฝรั่งที่รู้จักมักคุ้นกับวังหน้ามักจะยกย่องชมเชยว่า ทรงเป็นสุภาพบุรุษเพราะพระองค์มีพระนิสัยสุภาพ โดยเฉพาะกับพระราชชนนี กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ด้วยแล้ว ทรงแสดงความเคารพเกรงกลัวเป็นอันมาก

นอกจากนี้ทรงโปรดการท่องเที่ยวไปตามหัวบ้านหัวเมือง ทั้งเหนือและใต้ สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะมีพระอาการประชวรกระเสาะกระแสะอยู่เสมอ จึงต้องเสด็จไปเที่ยวรักษาพระองค์ตามหัวเมือง อยู่เนือง ๆ กล่าวกันว่า มักเสด็จไปประทับตามถิ่น ที่มีบ้านลาว เสด็จไปประทับที่บ้านสัมปะทวน แขวงนครไชยศรีบ้าง ทางเมืองพนัสนิคมบ้าง แต่เสด็จไปประทับที่ตำหนัก บ้านสีทา จังหวัดสระบุรีเสียโดยมาก แต่แท้ที่จริงแล้ว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ได้เคยเสด็จไปเที่ยวประพาสตามหัวเมือง ต่างๆ มาตั้งแต่ครั้งยังดำรงพระยศเป็น เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิสเรศรังสรรค์แล้ว เพราะทรงประจักษ์แจ้งแก่พระปรีชาญาณว่า การเสด็จประพาสหัวเมืองเป็นประโยชน์แก่ราชการบ้านเมือง ด้วยสามารถทรงทราบทุกข์สุขของไพร่ฟ้าประชาชนได้เป็น อย่างดีซึ่งดีกว่ารายงานในกระดาษมากนัก

[แก้] พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต

หลังจากพระราชพิธีบวรราชาภิเษกแล้ว ๑๐ ปี พระองค์ก็เริ่มทรงพระประชวรบ่อยครั้ง หาสมุฏฐานของพระโรคไม่ได้ เสด็จสู่สวรรคตเมื่อวันอาทิตย์ เดือน ๒ แรม ๖ ค่ำ เวลาเช้าย่ำรุ่ง ตรงกับ วันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๐๘ พระชนมพรรษา ๕๘ พรรษา ทรงอยู่ในอุปราชาภิเษกสมบัติทั้งสิ้น ๑๕ พรรษา

[แก้] พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ กับการทหารเรือ

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงใฝ่พระราชหฤทัยในวิชาการด้านจักรกลมาก และเพราะเหตุที่พระองค์โปรดการทหาร จึงทรงสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับอาวุธยุทธภัณฑ์เป็นพิเศษ เท่าที่ค้นพบพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ นั้น ก็มักจะ ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบทหาร และเป็นเครื่องแบบทหารเรือด้วย แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าไม่มีการบันทึกพระราชประวัติ ในส่วนที่ทรงสร้างหรือวางแผนงานเกี่ยวกับ กิจการทหารใด ๆ ไว้บ้างเลย แม้ในพระราชพงศาวดาร หรือในจดหมายเหตุต่าง ๆ ก็ ไม่มีการบันทึกผลงานพระราชประวัติใน ส่วนนี้ไว้เลย และแม้พระองค์เองก็ไม่โปรดการบันทึก ไม่มีพระราชหัตถเลขา หรือมีแต่ไม่มีใครเอาใจใส่ทอดทิ้ง หรือทำลายก็ ไม่อาจทราบได้ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีงานเด่น ที่มีหลักฐานทั้งของฝรั่ง และไทย กล่าวไว้ แม้จะน้อยนิดแต่ก็แสดงให้เห็นถึงการริเริ่มที่ ล้ำหน้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน

ผลงานนั้นคือการทหารเรือ การทหารเรือ ของไทยเรานั้น เริ่มมีเค้าเปลี่ยนจากสมัยโบราณเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ และผู้ที่เป็นกำลังสำคัญ ในกิจการด้านทหารเรือในสมัยนั้น คือ เจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ และ จมื่นไวยวรนาถ (สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ : ช่วง บุนนาค) ด้วยทั้ง ๒ ท่านนี้มีความรู้ในวิชาการต่อเรือในสมัยนั้น เป็นอย่างดี จึงได้รับหน้าที่ปกครอง บังคับบัญชาการทหารเรือในสมัยนั้น

ต่อมาได้แบ่งหน้าที่กันโดยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงบังคับบัญชาทหารเรือ วังหน้า ส่วนทหารเรือบ้านสมเด็จอยู่ในปกครองบังคับบัญชาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ในยามปกติทั้ง ๒ ฝ่าย นี้ ไม่ขึ้นแก่กันแต่ขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงฝึกฝนทหารของพระองค์ โดยใช้ทั้งความรู้และความสามารถ และ ยังทรงมุ่งพระราชหฤทัยในเรื่องการค้าขายให้มีกำไร สู่แผ่นดินด้วยมิใช่สร้าง แต่เรือรบเพราะได้ทรงสร้างเรือเดินทะเล เพื่อการค้าระหว่างประเทศอีกด้วย นอกจากนี้พระองค์ได้ทรงนำเอาวิทยาการ สมัยใหม่ของยุโรป มาใช้ฝึกทหารให้มีสมรรถภาพเป็นอย่างดี ทรงให้ร้อยเอก น็อกส์ (Thomas George Knox) เป็นครูฝึกทหารวังหน้า ทำให้ทหารไทยได้รับวิทยาการอันทันสมัยตามแบบ ทหารเกณฑ์หัดอย่างยุโรป

การฝึกหัดใช้คำบอกทหารเป็น ภาษาอังกฤษทั้งหมดเริ่มมีเรือรบกลไฟเป็นครั้งแรก ชื่อเรืออาสาวดีรส๓ และเรือยงยศอโยชฌิยา๔ (หรือยงยศอโยธยา) ซึ่งเมื่อครั้งเรือยงยศอโยชฌิยา ได้เดินทางไปราชการที่สิงคโปร์ ก็ได้รับคำชมเชยจากต่างประเทศเป็นอันมาก ว่าพระองค์มี พระปรีชาสามารถทรงต่อเรือได้ และการเดินทางในครั้งนั้นเท่ากับเป็นการไปอวดธงไทยในต่างประเทศ ธงไทยได้ถูกชัก ขึ้นคู่กับธงอังกฤษ ที่ฟอร์ทแคนนิ่งด้วย และแม้พระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ก็ทรงโปรด ฯ ให้เป็นทหารเรือเช่นกัน ประวัติของเรือที่พระองค์ทรงมีใช้ในสมัยนั้น ตามที่พลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์ ได้รายงานเล่าไว้ในหนังสือ ประวัติทหารเรือไทย มีดังนี้

๑. เรือพุทธอำนาจ (Fairy) สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙ เป็นเรือชนิดบาร์ก (Bark) ขนาด ๒๐๐ ตัน มีอาวุธปืนใหญ่ ๑๐ กระบอก เรือลำนี้เป็นของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๔ ไปราชการทัพรบกับญวน ใช้เป็นเรือพระที่นั่งของแม่ทัพ คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เมื่อครั้งทรงเป็นกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ยกกองทัพไปรบกับญวน ตีเมืองบันทายมาศ (ฮาเตียน)

๒. เรือราชฤทธิ์ (Sir Walter Scott) สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๙ เป็นเรือแบบเดียวกันกับพุทธอำนาจ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๔ ไปราชการทัพรบกับญวน

๓. เรืออุดมเดช (Lion) สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๔ เป็นเรือชนิดบาร์ก (Bark) ขนาด ๓๐๐ ตัน เรือลำนี้เป็นของพระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้า ฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๔ ได้ใช้ไปราชการทัพรบกับญวน พ.ศ. ๒๓๘๗ ได้นำสมณทูตไปลังกา

๔. เรือเวทชงัด (Tiger) สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๖ เป็นเรือชนิดสกูเนอร์ (Schooner) ขนาด ๒๐๐ ตัน เรือลำนี้เป็นของพระบาท สมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ

๕. เรือพุทธสิงหาศน์ (Cruizer) สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ เป็นเรือชนิดชิพ ขนาด ๔๐๐ ตัน เรือลำนี้เป็นของพระบาทสมเด็จ พระปิ่นเกล้า ฯ

๖. เรือมงคลราชปักษี (Falcon) ซื้อเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ เดิมเป็นเรือของชาวอเมริกัน ชนิดสกูเนอร์ (Schooner) ขนาด ๑๐๐ ตัน พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า ฯ ทรงซื้อมา แล้วดัดแปลงใช้เป็นเรือรบ เรือพระที่นั่งของพระองค์

เกียรติประวัติของการทหารเรือไทยสมควรจะต้องยกถวายแด่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะพระองค์เป็น ผู้ที่ทรงสนพระราชหฤทัยในกิจการทหารเรือในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก เมื่อปรากฏว่ามีเรือรบต่างประเทศเข้ามาเยี่ยม ประเทศไทยคราวใดพระองค์ก็มักหาโอกาสเสด็จไปเยี่ยมเยียนเรือรบเหล่านั้นเสมอ เพื่อจะได้ทรงทราบว่าเรือรบต่าง ประเทศเขาตกแต่งและจัดระเบียบเรือกันอย่างไร แล้วนำมาเป็นแบบอย่างให้กับเรือรบของไทยในเวลาต่อมา

จากพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้นำในเรื่องเรือสมัยใหม่ ซึ่งผู้คนในสมัยนั้นไม่มีใครเชื่อเลยว่าเหล็กจะลอยน้ำได้แต่พระองค์ได้ทรงแสดงพระปรีชาสามารถให้ปรากฏ ทรงต่อเรือรบ กลไฟขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย ทรงมีพระปรีชาสามารถหลายด้าน ทรงแตกฉานเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษจนสามารถติดต่อ กับชาวต่างประเทศได้เป็นอย่างดีพระสหาย และพระอาจารย์ เป็นชาว อเมริกันเสียเป็นส่วนมากทรงหมกมุ่นกับกิจการทหารเรือมาตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุนี้จึงถือได้ว่าพระองค์ทรงเป็น ผู้บัญชาการ ทหารเรือ พระองค์แรก และควรถวายพระนามว่า ผู้บัญชาการทหารเรือวังหน้า สมควรได้รับการถวายพระเกียรติยศขั้นสูงสุด จากเราชาวกองทัพเรือ ตั้งแต่นี้และตลอดไป

[แก้] พระโอรส-ธิดา

[แก้] ประสูติก่อนบวรราชาภิเษก

  • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. ๒๓๗๘) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเอม
  • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. ๒๓๘๐) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดามาลัย สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓
  • พระองค์เจ้าชายยอดยิ่งยศ บวรราโชรสรัตนราชกุมาร (พ.ศ. ๒๓๘๑-๒๔๒๘) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเอม ทรงบวรราชาภิเษกเป็น กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๘
  • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. ๒๓๘๑) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากุหลาบ
  • พระองค์เจ้าหญิงดวงประภา (พ.ศ. ๒๓๘๑-๒๔๓๘) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดามาลัย
  • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. ๒๓๘๑) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาตาด
  • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. ๒๓๘๒) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาใย
  • พระองค์เจ้าหญิงบุปผา (พ.ศ. ๒๓๘๒) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
  • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. ๒๓๘๒) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาบาง
  • พระองค์เจ้าชายสุธารส (พ.ศ. ๒๓๘๓-๒๔๓๖) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากุหลาบ ทรงเป็นต้นสกุล สุธารส
  • พระองค์เจ้าหญิงสุดาสวรรค์ (พ.ศ. ๒๓๘๓-๒๔๕๕) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดามาลัย
  • พระองค์เจ้าชายวรรัตน์ (พ.ศ. ๒๓๘๔-๒๔๔๙) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเกด ทรงได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นพิศาลบวรศักดิ เมื่อ พ.ศ ๒๔๒๔ ในรัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นต้นสกุล วรรัตน์
  • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. ๒๓๘๔) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาบัว
  • พระองค์เจ้าหญิงตลับ (พ.ศ. ๒๓๘๔) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
  • พระองค์เจ้าชายปรีดา (พ.ศ. ๒๓๘๕) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเอม
  • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. ๒๓๘๗) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาบาง
  • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. ๒๓๘๗) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเพื่อน
  • พระองค์เจ้าชายภาณุมาศ (พ.ศ. ๒๓๘๘-๒๔๓๑) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเอี่ยม ทรงเป็นต้นสกุล ภาณุมาศ
  • พระองค์เจ้าชายหัสดินทร์ (พ.ศ. ๒๓๘๘-๒๔๒๙) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหนู ทรงได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นบริรักษ์นรินทรฤทธิ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๔ ในรัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นต้นสกุล หัสดินทร
  • พระองค์เจ้าชายเนาวรัตน์ (พ.ศ. ๒๓๘๘-๒๔๓๓) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเอม ทรงได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นสถิตย์ธำรงศักดิ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๔ ในรัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นต้นสกุล นวรัตน์
  • พระองค์เจ้าชายเบญจางค์ (พ.ศ. ๒๓๘๘-๒๔๑๙) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเพื่อน
  • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. ๒๓๙๐) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาด๊า
  • พระองค์เจ้าชายยุคนธร (พ.ศ. ๒๓๙๑) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแย้ม สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นต้นสกุล ยุคนธรานนท์
  • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. ๒๓๙๑) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
  • พระองค์เจ้าหญิงราษี (พ.ศ. ๒๓๙๑-๒๔๔๒) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเยียง
  • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. ๒๓๙๒) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเอี่ยม
  • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. ๒๓๙๒) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาด๊า
  • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. ๒๓๙๒) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเท้ย
  • พระองค์เจ้าชายกระจ่าง (พ.ศ. ๒๓๙๒) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเพื่อน สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕
  • พระองค์เจ้าหญิงวงจันทร์ (พ.ศ. ๒๓๙๓-๒๔๕๙) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเอม
  • พระองค์เจ้าชายวัชรินทร์ (พ.ศ. ๒๓๙๓) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาตาด
  • พระองค์เจ้าหญิงจำเริญ (พ.ศ. ๒๓๙๓-๒๔๕๐) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
  • พระองค์เจ้าหญิงถนอม (พ.ศ. ๒๓๙๓-๒๔๒๘) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพัน

[แก้] ประสูติเมื่อบวรราชาภิเษกแล้ว

  • พระองค์เจ้าชายโตสินี (พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๕๘) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ ทรงเป็นต้นสกุล โตษะณีย์
  • พระองค์เจ้าชายเฉลิมลักษณวงศ์ (พ.ศ. ๒๓๙๖-๒๔๕๖) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาขลิบ ทรงได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นวรวัฒน์สุภากร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๖
  • พระองค์เจ้าชายนันทวัน (พ.ศ. ๒๓๙๖-๒๔๓๔) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหนู ทรงเป็นต้นสกุล นันทวัน
  • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. ๒๓๙๖) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาจัน
  • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. ๒๓๙๖) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
  • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. ๒๓๙๗) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพลับ
  • พระองค์เจ้าชายวัฒนา (พ.ศ. ๒๓๙๗) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาลำภู
  • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. ๒๓๙๗) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
  • พระองค์เจ้าหญิงภัควดี (พ.ศ. ๒๓๙๘) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพลอย สิ้นพระชนม์ พ.ศ. ๒๔๘๓ ในรัชกาลที่ ๘
  • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. ๒๓๙๘) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาช้อย
  • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. ๒๓๙๘) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
  • พระองค์เจ้าหญิงวรภักตร์ (พ.ศ. ๒๓๙๘-๒๔๒๗) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาส่วน
  • พระองค์เจ้าหญิงวิลัยทรงกัลยา (พ.ศ. ๒๓๙๘) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาขลิบ สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๕
  • พระองค์เจ้าหญิงเฉิดโฉม (พ.ศ. ๒๓๙๙-๒๔๘๙) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาสีดา
  • พระองค์เจ้าหญิงประโลมโลก (พ.ศ. ๒๓๙๙-๒๔๓) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแก้ว
  • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. ๒๓๙๙) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพลับ
  • พระองค์เจ้าชายพรหเมศ (พ.ศ. ๒๓๙๙-๒๔๓๔) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาพรหมา ทรงเป็นต้นสกุล พรหเมศ
  • พระองค์เจ้าหญิงโศกส่าง (พ.ศ. ๒๓๙๙) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาหงส์
  • พระองค์เจ้าหญิงพิมพับสรสร้อย (พ.ศ. ๒๓๙๙-๒๔๖๘) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาวันดี
  • พระองค์เจ้าชายจรูญโรจน์เรืองศรี (พ.ศ. ๒๓๙๙-๒๔๕๑) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาช้อย ทรงได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นจรัสพรปฏิภาณ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ ในรัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นต้นสกุล จรูญโรจน์
  • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. ๒๔๐๐) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลีบ
  • พระองค์เจ้าชายสนั่น (พ.ศ. ๒๔๐๐) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาอ่อน ทรงเป็นต้นสกุล สายสนั่น
  • พระองค์เจ้าชาย (พ.ศ. ๒๔๐๐) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาช้อย
  • พระองค์เจ้าหญิง (พ.ศ. ๒๔๐๑) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาสายบัว
  • พระองค์เจ้าหญิงสอางองค์ (พ.ศ. ๒๔๐๓-๒๔๖๕) ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาวันดี


[แก้] แหล่งข้อมูลอื่น


รัชสมัยก่อนหน้า:
สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ราชวงศ์จักรี พ.ศ. 23942408
รัชสมัยถัดไป:
สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ



  พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นบทความเกี่ยวกับ ชีวประวัติ ที่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องการตรวจสอบ เพิ่มเนื้อหา หรือเพิ่มแหล่งอ้างอิง คุณสามารถช่วยเพิ่มเติมหรือแก้ไข เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น
ข้อมูลเกี่ยวกับ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ในภาษาอื่น สามารถหาอ่านได้จากเมนู ภาษาอื่น ๆ ด้านซ้ายมือ
Our "Network":

Project Gutenberg
https://gutenberg.classicistranieri.com

Encyclopaedia Britannica 1911
https://encyclopaediabritannica.classicistranieri.com

Librivox Audiobooks
https://librivox.classicistranieri.com

Linux Distributions
https://old.classicistranieri.com

Magnatune (MP3 Music)
https://magnatune.classicistranieri.com

Static Wikipedia (June 2008)
https://wikipedia.classicistranieri.com

Static Wikipedia (March 2008)
https://wikipedia2007.classicistranieri.com/mar2008/

Static Wikipedia (2007)
https://wikipedia2007.classicistranieri.com

Static Wikipedia (2006)
https://wikipedia2006.classicistranieri.com

Liber Liber
https://liberliber.classicistranieri.com

ZIM Files for Kiwix
https://zim.classicistranieri.com


Other Websites:

Bach - Goldberg Variations
https://www.goldbergvariations.org

Lazarillo de Tormes
https://www.lazarillodetormes.org

Madame Bovary
https://www.madamebovary.org

Il Fu Mattia Pascal
https://www.mattiapascal.it

The Voice in the Desert
https://www.thevoiceinthedesert.org

Confessione d'un amore fascista
https://www.amorefascista.it

Malinverno
https://www.malinverno.org

Debito formativo
https://www.debitoformativo.it

Adina Spire
https://www.adinaspire.com